วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การทำยุทธหัตถีหรือการชนช้าง


 ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า "การต่อสู้กันด้วยอาวุธบนหลังช้าง เป็นวิธีการรบอย่างกษัตริย์ในสมัยโบราณ เช่น พระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา การชนช้างก็ว่า"
            บนหลังช้างจะมีคนนั่งอยู่สามคน ตัวแม่ทัพจะถือง้าวอยู่ที่คอช้าง คนที่นั่งกลางอยู่บนกูบจะถือหางนกยูงซ้ายขวาโบกเป็นสัญญาณ และคอยส่งอาวุธให้แม่ทัพ (ทราบว่าจะสับเปลี่ยนที่นั่งกันตอนกระทำการรบเท่านั้น) ที่ท้ายช้างจะมีควาญนั่งประจำที่ ตามเท้าช้างทั้งสี่มีพลประจำเรียกว่า จตุรงคบาท คนทั้งหมดจะถืออาวุธ เช่น ปืนปลายขอ หอกซัด ของ้าว ขอเกราะเขน แพน ถ้าเป็นช้างยุทธหัตถีจะมีหอกผูกผ้าสีแดงสองเล่ม ปืนใหญ่หันปากออกข้างขวาหนึ่งกระบอก ข้างซ้ายหนึ่งกระบอก มีนายทหารและพลทหารสวมเกราะ   โพกผ้า ช้างที่เข้ากระบวนทัพจะสวมเกราะใส่เกือกหรือรองเท้าเหล็กสำหรับกันขวากหนาม โดยทั้งที่สี่เท้าสวมหน้าราห์ มีปลอกเหล็กสวมงาทั้งคู่ และมีเกราะโว่พันงวงช้าง สำหรับพังหอค่าย โดยไม่เจ็บปวด
การกระทำยุทธหัตถีในประวัติศาสตร์ไทยที่เลืองลือ ปรากฏทั้งหมด 4 ครั้ง คือ
1. การชนช้างระหว่างพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด พ่อขุนรามคำแหงชนะ
2. การชนช้างที่สะพานป่าถ่าน ระหว่างเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยา เพื่อชิงราชสมบัติ ปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
3. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระสุริโยทัยกับพระเจ้าแปร ในปี พ.ศ. 2091 ที่ทุ่งมะขามหย่อง อยุธยา สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง
4. ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชามังสามเกียด ในปี พ.ศ. 2135 ที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ชัยชนะ
            พงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัด บรรยายว่า
            "ส่วนพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาก็เข้าชนช้างชิงชัย แล้วสู้รับฟันแทงกันด้วยพระแสงของ้าวตามกระบวนเพลงขอ ก็รำรอรับกันประจันสู้กันไปตามเพลงส่วนช้างพระนเรศวรนั้นเล็ก ก็ถอยพลางทางสู้ชน ครั้นถอยไปอุปราชาจึงฟันพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว พระนเรศวรจึงหลบ ก็ถูกพระมาลาบี้ไปประมาณได้สี่นิ้ว ครั้งช้างพระนเรศร์ถอยไปจึงได้ที ประจันหนึ่งเรียกว่าหนองขายันและพุทรากระแทก ก็ยังมีที่ที่อันนั้นจนทุกวันนี้ ช้างพระนเรศวรนั้นยันต้นพุทรานั้นเข้าได้แล้ว จึงชนกระแทกขึ้นไป ก็ค้ำคางช้างพระมหาอุปราชาเข้า ฝ่ายช้างอุปราชาเบือนหน้าไป พระนเรศวรได้ทีก็ฟันด้วยพระแสงของ้าว ชื่อเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ก็ถูกอุปราชาพระเศียรก็ขาดออกไปกับที่บนคอช้าง"
           ยุทธหัตถี หรือ การชนช้าง (Elephant Duel) คือการทำสงครามบนหลังช้างตามประเพณีโบราณของกษัตริย์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ เป็นการทำสงครามซึ่งถือว่ามีเกียรติยศ เพราะช้างถือเป็นสัตว์ใหญ่ และเป็นการปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ผู้แพ้จะถึงแก่ชีวิตได้
           ประวัติและลักษณะจำเพาะ
           การกระทำยุทธหัตถีเป็นประเพณีสงครามที่รับมาจากอินเดีย โดยช้างที่ใช้ เรียกว่า "ช้างศึก" โดยมากจะนิยมเลือกใช้ช้างพลายที่กำลังตกมัน ดุร้าย ก่อนออกทำสงครามจะกรอกเหล้าเพื่อให้ช้างเมา เกิดความฮึกเหิมเต็มที่ โดยจะแต่งช้างให้พร้อมในการรบ เช่น ใส่เกราะที่งวงหรืองาเพื่อรื้อทำลายค่ายคูของฝ่ายตรงข้าม เรียกว่า "ช้างกระทืบโรง" หรือล่ามโซ่หรือหนามแหลมที่เท้าทั้งสี่ ใช้ผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดตาช้างให้เห็นแต่เฉพาะด้านหน้าเพื่อไม่ให้ช้างตกใจและเสียสมาธิ เรียกว่า "ผ้าหน้าราหู"
          ตำแหน่งของผู้ที่นั่งบนหลังช้างจะมีด้วยกัน 3 คน คือ ตำแหน่งบนคอช้าง จะเป็นผู้ทำการต่อสู้ โดยอาวุธที่ใช้สู้ส่วนมากจะเป็นง้าว ตำแหน่งกลางช้าง จะเป็นตำแหน่งที่จะให้สัญญาณและส่งอาวุธที่อยู่บนสับคับให้แก่คอช้าง โดยอาวุธได้แก่ ง้าว, หอก, โตมร, หอกซัด และเครื่องป้องกันต่าง ๆ เช่น โล่ห์ เป็นต้น และตำแหน่งควาญช้างซึ่งจะเป็นผู้บังคับช้างจะนั่งอยู่หลังสุด และหากเป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์ จะมีทหารฝีมือดี 4 คนประจำตำแหน่งเท้าช้างทั้ง 4 ข้างด้วย เรียกว่า "จาตุรงคบาท" ซึ่งไม่ว่าช้างทรงจะไปทางไหน จาตุรงคบาทต้องตามไปคุ้มกันด้วย หากตามไม่ทันจะมีโทษถึงชีวิต
          โดยมากแล้ว ผลแพ้ - ชนะของการทำยุทธหัตถีจะขึ้นอยู่กับขนาดของช้าง ช้างที่ตัวใหญ่กว่าจะสามารถข่มขวัญช้างที่ตัวเล็กกว่า เมื่อช้างที่ตัวเล็กกว่าหนีหรือหันท้ายให้ หรือช้างตัวใดที่สามารถงัดช้างอีกตัวให้ลอยขึ้นได้ จะเปิดจุดอ่อนให้โจมตีได้ตรง ๆ การฟันด้วยของ้าวเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ถึงชีวิตได้ โดยร่างอาจขาดหรือเกือบขาดเป็นสองท่อนได้ เรียกว่า "ขาดสะพายแล่ง"

ที่มา:http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?topic=449.0

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สงครามโลกครั้งที่1ตอนที่3


สงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจาก 4 ประการ คือ

    1. การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือ การแข่งขันระหว่างอังกฤษกับเยอรมัน
    2. การทะเลาะเบาะแว้งเรื่องอาณานิคม ปลาย ค.ศ. ที่ 19 ยุโรปต่างแข่งขันช่วงชิงอาณานิคมเพื่อจักรวรรดิของตน ซึ่งก่อให้เกิดความแตกร้าวระหว่างชาติขึ้น เช่น
    -อังกฤษกับเยอรมัน เรื่องแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้
    -อังกฤษกับฝรั่งเศส เรื่องลุ่มแม่น้ำไนล์
    -อังกฤษกับรัสเซีย เรื่องเปอร์เซียและอาฟกานิสถาน
    -เยอรมันกับฝรั่งเศส เรื่องมอร็กโกและแอฟริกาตะวันตก
    3. ระบบภาคีพันธมิตร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ
    - สัญญาไตรภาคี ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย - ฮังการี และอิตาลี
    - สัญญาไตรพันธมิตร ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
    4. ความใฝ่ฝันทะเยอทะยานด้วยความรู้สึกทางชาตินิยม

วิกฤติกรรมณ์ซาราเจโว

    * สาเหตุปัจจุบันของสงครามโลกครั้งที่ 1 เชื่อว่าเกิดจากการลอบปลงพระชนม์ อาชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ แห่งออสเตรีย ด้วยฝีมือของนักศึกษาบอสเนียเชื้อสายเซอร์ป ชื่อ กาวริโล ปรินซิป ที่ซาราเจโว เมืองหลวงของแคว้นบอสเนีย
    ** ใน ค.ศ. 1917 เป็นช่วงที่พลิกโฉมสงครามยุโรปเป็นสงครามโลก เพราะมีเหตุการณ์สำคัญ 2 ประการคือ การปฏิวัติรัสเซีย และการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐ
    * สงครามโลกยุติลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นไปตามหลัก 14 ประการ ของประธานาธิบดีดีวิลสัน ของสหรัฐฯ ซึ่งสนธิสัญญาแวร์ซายส์ข้อที่ 1 ทำให้เกิด "สันนิบาตแห่งประชาชาติ"

ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1

    1. แผนที่ของยุโรปเปลี่ยนไป เพราะการลุ่มสลายของจักวรรดิทั้งสี่
    2. ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก ในขณะที่สหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของยุโรป

เยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

             เยอรมนี ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐ รัฐบาลถูกโจมตีจากพวกที่ไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ จนเมื่อ อดอล์ฟ อิตเลอร์ ผู้นำพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน (NAZI) ซึ่งมีนโยบายหลักไปทางชาตินิยม โดยมีเป้าหมายฟื้นฟูเยอรมันให้มีสภาพเหมือนก่อน (เยอรมนีเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1) และทำการโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซายส์ว่ามีการลงโทษประเทศที่แพ้สงครามอย่างไม่ เป็นธรรมจากนโยบายดังกล่าวทำให้เขาได้รับความนิยม และทำรัฐประหารสำเร็จในเดือนมกราคม ปี 1933

ไทยกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2457-2461

             สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2457 ไทยตั้งตัวเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ไทยจึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และได้ส่งทหารอาสาสมัครไปช่วยรบประมาณ 1,200 คน ทั้งนี้รวมทั้งนายและพลทหาร สมทบกับนักเรียนไทยในนานาประเทศอีกประมาณ 400 คน รวมทหารอาสาสมัครทั้งหมดประมาณ 1,600 คน
             ทหาร อาสาออกเดินทางเมื่อ พ.ศ. 2461 ถึงประเทศฝรั่งเศสอยู่ใต้บัญชาการของนายพล เปแตง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ไปปฏิบัติการในสมรภูมิประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม


ผลที่ไทยได้รับจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น มีความสำคัญดังนี้ 

    1. เป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศ
    2. ได้รับเกียรติเข้าร่วมทำสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์
    3. เมื่อสงครามสงบได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกประเภทริเริ่มขององค์การสันนิบาตชาติ เป็นหลักประกันเอกราชและความปลอดภัยของประเทศ
    4. ได้แก้ไขสัญญาที่ทำไว้แต่รัชกาลที่ 4 เป็นผลสำเร็จ ยกเลิกสัญญาต่าง ๆ ที่ไทยทำกับเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี และทำสัญญากับประเทศต่าง ๆ ใหม่
    5. ได้ยึดทรัพย์จากเชลย
    6. เปลี่ยนธงชาติจากธงช้างมาเป็นธงไตรรงค์ เพื่อนำไปใช้ในกองทัพไทยที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
    7. สร้างอนุสาวรีย์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งคือ อนุสาวรีย์ทหารอาสา วงเวียน 22 กรกฎา สมาคมสหายสงคราม เป็นต้น 
    8. มีการจัดทหารแบบยุโรป และเริ่มจัดตั้งกรมอากาศยานขึ้นเป็นครั้งแรก 


ที่มา:http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=1812.0

สงครามโลกครั้งที่1ตอนที่2


 สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นสงครามความขัดแย้งบนฐานการล่าอาณานิคม ระหว่างมหาอำนาจยุโรปสองค่าย คือ ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple Alliance) ซึ่งประกอบไปด้วยเยอรมนี  และอิตาลี กับฝ่าย (Triple Entente) ประกอบไปด้วยบริเตนใหญ่ ฝรั่งเศสและรัสเซีย เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1914 – 1918

ประวัติ 

            ในสมัยบิสมาร์คเป็นผู้นำในการสร้างจักรวรรดินิยมเยอรมัน เมื่อบิสมาร์ครบชนะฝรั่งเศส และประกาศจักรวรรดิเยอรมันแล้วจึงดำเนินการตั้ง The Three Emperor's League ซึ่งแสดงความเป็นสัมพันธมิตรระหว่าง เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ด้วยเจตนาสำคัญประการแรกคือ ป้องกันการแก้แค้นของฝรั่งเศส ต่อมาภายหลังเมื่อออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กัน จนมิอาจเป็นพันธมิตรต่อกันได้ บิสมาร์คจึงชักชวนอิตาลีเข้าแทนที่รัสเซีย จึงเกิด Triple Alliance ขึ้น

            ครั้งบิสมาร์คหมดอำนาจลง จักรพรรดิเยอรมัน (Kaiser Wilhelm II) ทรงเลิกนโยบายเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และสร้างความไม่พอใจให้อังกฤษด้วยการเริ่มโครงการขยายกองทัพเรือและขยายอิทธิพลดินแดนตะวันออก ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซียและเข้าใจอันดีกับอังกฤษ และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคมที่เคยมีต่อกันได้แล้ว จึงจัดตั้ง Triple Entente ในปี ค.ศ. 1907

             จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เมื่อ อาร์คดยุคฟรานซิส เฟอร์ดินัลด์ (Archduke Francis Ferdinand) มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ชื่อ กาวริลโล ปรินซิป (Gavrilo Princip)รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีจึงตัดสินใจจะทำลายล้างเซอร์เบียให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้ ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้ เยอรมนีจึงได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง ครั้นสองมหาอำนาจไม่ปฏิบัติตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1914 และฝรั่งเศสในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 ตามลำดับ

              หลังจากเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและฝรั่งเศสแล้ว ได้เคลื่อนกำลังพลเข้าละเมิดความเป็นกลางของประเทศเบลเยียมเพื่อขอเป็นทางผ่านในการบุกฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจของโลกจึงประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 มหาอำนาจในยุโรปจึงเข้าสู่สงคราม ยกเว้นอิตาลีที่เข้าร่วมในปี ค.ศ. 1915

            ฝ่ายเยอรมนี ออสเตรีย-อังการี อิตาลีได้ตุรกีและบัลแกเรียเป็นพันธมิตร ตุรกีเข้าโจมตีจักรวรรดิเปอร์เซีย บัลแกเรียเข้าผนวกโรมาเนีย แอลเบเนีย และโจมตีกรีซ ซึ่งต่อมาถูกเรียกโดยรวมว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) ส่วนอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามฝ่ายพันธ-มิตร (the Allies)ได้ประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศเข้าร่วม รวมทั้งประเทศในเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น แต่ในปี ค.ศ. 1917 รัสเซียได้ถอนตัวออกจากสงครามครั้งนี้ เนื่องจากเลนินผู้นำกลุ่มบอลเชวิคส์ทำการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นในรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้ามาแทนที่รัสเซีย หลังจากเยอรมนีประกาศจะใช้เรือดำน้ำทำลายเรือข้าศึกและเรือสินค้าของทุกชาติโดยไม่มีขอบเขต สำหรับประเทศไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 โดยส่งทหารอาสาสมัครเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรปจำนวน 1200 คน

            ในช่วงแรกของสงคราม มหาอำนาจกลางเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่หลังจากที่อเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร พร้อมกับส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลเกือบ 5 ล้านคน ทำให้พันธมิตรกลับมาได้เปรียบและสามารถเอาชนะฝ่ายมหาอำนาจกลางได้อย่างเด็ดขาด ในที่สุดเมื่อฝ่ายมหาอำนาจกลางยอมแพ้และเซ็นต์สัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 4 ปี 5 เดือนจึงยุติลงอย่างเป็นรูปธรรม

ผลกระทบ 

             หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลกเคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจโลกสังคมนิยม หลังจากเลนินทำการปฏิวัติยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อสามารถ   ขยายอำนาจไปผนวกแคว้นต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ยูเครน เบลารุส ฯลฯ จึงประกาศจัดตั้งสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Republics -USSR) ในปี ค.ศ. 1922
            เกิดการร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of Veraailles) โดยฝ่ายชนะสงครามสำหรับเยอรมนี และสนธิสัญญาสันติภาพอีก 4 ฉบับสำหรับพันธมิตรของเยอรมนี เพื่อให้ฝ่ายผู้แพ้ยอมรับผิดในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสงคราม ในสนธิสัญญาดังกล่าวฝ่ายผู้แพ้ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม เสียดินแดนทั้งในยุโรปและอาณานิคม ต้องลดกำลังทหาร อาวุธ และต้องถูกพันธมิตรเข้ายึดครองดินแดนจนกว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ประเทศผู้แพ้ไม่ได้เข้าร่วมในการร่างสนธิสัญญา แต่ถูกบีบบังคับให้ลงนามยอมรับข้อตกลงของสนธิสัญญา จึงก่อให้เกิดภาวะตึงเครียดขึ้น
            เกิดการก่อตัวของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่น ซึ่งท้ายสุดประเทศมหาอำนาจเผด็จการทั้งสามได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต่อต้านโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ (Axis)
            มีการจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ เป็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความมั่นคง ปลอดภัยและสันติภาพในโลก แต่ความพยายามดังกล่าวก็ดูจะล้มเหลว เพราะในปี ค.ศ. 1939 ได้เกิดสงครามที่รุนแรงขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ 
สงครามโลกครั้งที่ 2 


ืที่มา:http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=1812.0

สงครามโลกครั้งที่1ตอนที่1


สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษ: World War I หรือ First World War) หรือเป็นที่รู้จักกันว่า "สงครามครั้งยิ่งใหญ่" (อังกฤษ: Great War) หรือ "สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งมวล" (อังกฤษ: War to End All Wars) เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1914 - ค.ศ. 1918 ระหว่างฝ่ายไตรภาคี (อังกฤษ: Triple Entente) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง โดยพบว่ามีทหารกว่า 70 ล้านคนมีส่วนร่วมในการรบ ผลจากสงครามทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน

             สาเหตุหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็คือ การลอบปลงพระชนม์อาร์คดุยค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยกัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอสเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกของแก๊งมือมืด และการแก้แค้นของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีต่อราชอาณาจักรเซอร์เบียก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ปะทุขึ้นในทวีปยุโรป ภายในหนึ่งเดือน ทวีปยุโรปส่วนมากก็อยู่ในสภาวะสงคราม

             สงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตร และความปราชัยของฝ่ายมหาอำนาจกลาง - จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ได้แตกเป็นประเทศเกิดใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุโรปกลาง การสื้นสุดของจักรวรรดิรัสเซีย นำไปสู่การก่อตั้ง สหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติรัสเซีย ต่อมา ได้มีการก่อตั้ง สันนิบาตชาติ เพื่อเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีจุดประสงค์เพื่อการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศด้วยวิธีการทางการทูต แต่ทว่าจากลัทธิชาตินิยมที่เกิดขึ้นภายหลังสงคราม ประกอบกับสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง



ที่มา:http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=1812.0

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อารยธรรมอียิปต์โบราณ

  อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกโบราณในระยะต้นนั้นส่วนใหญ่ก็คือ   อารยธรรมที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้งนี้เพราะการสร้างอารยธรรม
ในยุคแรกนั้นมีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำใหญ่เนื่องจากประชากรในยุคนั้นต้องอาศัยน้ำทั้งในการดำรงชีวิตและเพื่องานเกษตรกรรม
การคมนาคมส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยแม่น้ำ ด้วยเหตุนี้แหล่งอารยธรรมโบราณของโลกจึงอยู่ที่บริเวณแม่น้ำใหญ่ 4 แห่ง    คือ บริเวณที่
ราบลุ่มแม่น้ำไนล์    บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส ยูเฟรตีส    บริเวณแม่น้ำสินธุ   และบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลือง
อารยธรรมในบริเวณนี้เป็นอารยธรรมเกษตรกรรม เนื่องจากต้องอาศัยการดำรงชีวิตอยู่ใกล้บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้งสิ้น
 
            ก. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ นักประวัติศาสตร์กรีกท่านหนึ่งคือ เฮโรโดตัส (Herodotus:484-425 B.C.) กล่าวถึงอียิปต์ว่าเป็น
a  gift  of  the  Nile   เพราะถือว่าแม่น้ำไนล์นั้นคือหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงประเทศอียิปต์ เพราะตามปกติอียิปต์จะเป็นประเทศที่มี
อากาศร้อนและแห้งแล้ง เพราะล้อมรอบด้วยทะเลทราย มีฝนตกเพียงเล็กน้อยในฤดูหนาว  และตกเฉพาะบริเวณเดลต้า อียิปต์จึงได้
อาศัยความชุ่มชื้นจากแม่น้ำไนล์ ในราวเดือนกรกฎาคมของทุกปีน้ำจากแม่น้ำจะไหลล้นฝั่งทั้งสองและเริ่มลดลงในเดือนตุลาคมเมื่อ
น้ำลดลงก็จะทิ้งโคลนตมไว้บริเวณสองฟากฝั่งแม่น้ำ โคลนตมเหล่านี้จเป็นปุ๋ยช่วยให้พืชเจริญงอกงาม  ฉะนั้น ถ้าขาดแม่น้ำไนล์เสีย
อียิปต์ก็จะกลายเป็นทะเลทรายที่ร้อนระอุ    ด้วยเหตุที่แม่น้ำไนล์ให้ความอุดมสมบูรณ์นี้อารยธรรมของอียิปต์จึงเป็นอารยธรรมที่เกิด
จากการเกษตรกรรม
 
          อิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลงนี้เชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิพลของของฟาโรห์  พระองค์เท่านั้นที่รู้จักและเข้า  Ma'at     ซึ่งหมายความว่า
นั่นคือ   เป็นผู้ดียวที่เข้าใจถึงความสอดคล้องต้องกันของจักรวาล     เพราะฉะนั้น การปกครองของอียิปต์ในระยะแรกจึงมาในรูปของ
กษัตริย์เทวาธิปไตย ในระหว่างที่ฟาโรห์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็จะดำรงตำแหน่งโฮรัส   (Horus)   พระบุตรของโอสิริส   (Osiris)   เมื่อ
สิ้นพระชนม์แล้วก็จะกลับไปเป็นเทพโอสิริส กล่าวคือเป็นเทพโอสิริสอีกองค์หนึ่งเพราะฉะนั้นกษัตริย์อียิปต์ทุกพระองค์เมื่อได้มีทำพิธี
ฝังพระศพแล้วก็จะถูกเรียกว่าเทพโอสิริสทุกพระองค์และเมื่อนั้นก็จะมีการช่วยเหลือข้าราชบริพารของพระองค์ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ได้
 
           ข. ประวัติศาสตร์การเมืองของอียิปต์ นักปราชญ์ผู้ทำการศึกษาเรื่องราวของอียิปต์โดยเฉพาะคือ จอห์น เอ วิลสัน
(John A. Wilson) บันทึกไว้ ว่า "การเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการต่างๆ นั้น น้ำจะเกิดขึ้นภายในดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์เอง กล่าวคือ
ฝูงสัตว์จากบริเวณที่สูงรวมทั้งคนด้วยคงจะล่องมาตามบริเวณริมฝั่งแม่น้ำหาแหล่งที่มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ตามกันลงมาจนทั้งสองฝ่าย
รู้จักกันดีขึ้นคนรู้ว่าสัตว์บางชนิดควรเลี้ยงไว้ใ่กล้สัตว์เพื่อเก็บไว้เป็นอาหารในวันหน้าพืชบางชนิดก็อาจขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากขึ้น
เพื่อเลี้ยงทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คนเลี้ยงไว้ด้วย"
  อียิปต์โบราณ หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์นี้เอง เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก กล่าวคือเมื่อประมาณ 6000 ปี
มาแล้วประชาชนบริเวณนี้ได้เริ่มเรียนรู้วิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติและนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ มีรัฐบาลที่เป็นระเบียบมี
ความมั่นคงอุดมสมบูรณ์    ตลอดจนมีศิลปและวรรณคดีชั้นสูง อารยธรรมนี้ก็เจริญและยั่งยืนอยู่เป็นเวลานาน      สาเหตุหนึ่งที่ทำให้
อารยธรรมเจริญอยู่เป็นเวลานานก็เพราะสภาพภูมิประเทศ
          1. การที่อิยิปต์ล้อมรอบด้วยทะเลทรายทั้งทางทิศตะวันตก และทิศตะวันออกตลอดจนการที่แม่น้ำไนล์มี แก่งโจน(Catarats)
ตั้งแต่ปากน้ำจนสุดสายแม่น้ำซึ่งยาวประมาณ 700 ไมล์ ทำให้เป็นการยากแก่ศัตรูภายนอกที่จะเข้ารุกรานมีทางเดียวเท่านั้นที่ศรัตรู
จะเข้ามารุกรานอียิปต์ได้คือเดลต้าที่เชื่อมทวีปอัฟริกากับเอเซียคือตรงบริเวณทะเลแดง แต่ก็ป้องกันได้ง่าย
         2. การที่แม่น้ำไนล์ท่วมฝั่งทุกปีทำให้ประชาชนที่เข้าอยู่บริเวณนี้ต้องพยายามหาทางที่จะเอาชนะธรรมชาติจึงเกิดความร่วมมือ
กันทำงาน เช่นมีการชลประทานมีการขุดคูส่งน้ำเมื่อมีคนมาอยู่มากก็ต้องมีรัฐบาลปกครองเพื่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุข นอกจากนี้
ความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับจากแม่น้ำไนล์ก็ยังมีส่วนทำให้ชาวอียิปต์มีจิตใจที่จะคิดค้นและสร้างสมศิลปวัฒนธรรมและวรรรณคดีต่างๆ

ที่มา:http://std.kku.ac.th/5050201559/2.htm

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พ่อมดเมอร์ลิน มีตัวตนจริงหรือเพียงตำนาน

 การกำเนิดของเมอร์ลินนั้น บางตำนานกล่าวว่าเขาเป็นบุตรของปีศาจที่แอบลอบ มาสมสู่กับเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ทำให้เขามีอำนาจวิเศษ มีคาถา อาคมและหยั่งรู้ในเหตุการณ์อนาคต ต่อมาเขาได้กลายมาเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ อูเธอร์ ซึ่งเป็นพระบิดาของอาร์เธอร์ เขาจึงมีหน้าที่อภิบาลอาร์เธอร์ในวัยเยาว์ และเมื่ออาร์เธอร์ได้เป็นกษัตริย์ เมอร์ลินก็มีบทบาทช่วยเหลือสนับสนุนมากมาย นับตั้งแต่ทำให้อาร์เธอร์ ได้ดาบเอ็กซคาลิเบอร์ มาเป็นอาวุธคู่กาย ช่วยจัดตั้งคณะอัศวินโต๊ะ กลมอันเกรียงไกร
 นอกจากนั้น ก็ยังได้ทำนายถึงความห้าวหาญยิ่งใหญ่ของยอดอัศวิน ลานสล็อต ทำนายถึงการแปร พักตร์ของราชินีกีนีเวียร์และอัศวินมอร์เดร็ด แต่แม้เมอร์ลิน จะมีพลัง ใด เขาก็หยั่งรู้ถึงโชคชะตาอันมืดมนของตนเองดี หลังจากเขาได้ สอนมายากลบางส่วนแก่ มอร์แกน เลอ เฟย์ เจ้าหญิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของอาร์เธอร์ แล้ว เมอร์ลินก็ได้พาวิเวียนนางกำนัลคนหนึ่งของเลอเฟย์มาอยู่ด้วย และอบรมสั่ง สอนสาวน้อยวิเวียน ให้เรียนรู้เวทมนตร์คาถาจนหมดสิ้น แต่แล้ววิเวียนก็ได้ทรยศต่อพ่อมดเมอร์ลิน โดยใช้อาคมที่เขาสอนนั่นเองผูกมัดเขาไว้กับต้นไม้ (บางตำนานระบุว่าขังไว้ในถ้ำแก้ว) ทำให้เมอร์ลินตกอยู่ภายใต้มนต์ สะกดตลอดกาล
 เมอร์ลินจะมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ หรือเป็นเพียงนิยาย ตำนานเล่าลือกันมา มีผู้วิเคราะห์วิจารณ์ ไว้ดังนี้
ชื่อ “เมอร์ลิน” ปรากฏเป็นหนแรกในบทนิพนธ์ของ จอฟฟรีย์ มอนเมาธ์ ซึ่งประพันธ์ ขึ้นในปี ค.ศ. 1136 เรื่อง “ประวัติกษัตริย์ แห่งบริเทน
 
ทว่าต่อมาเมื่อเขาเขียนขึ้นอีกเล่มหนึ่ง “ชีวิตของเมอร์ลิน” มอนเมาธ์กลับ นำเอานามแรกเริ่มเป็น ภาษาละติน “เมิร์ดดิน” มาใช้เป็นชื่อของพ่อมดที่มีบทบาทอยู่ในตำนานพื้นบ้าน ของชาวเวลส์หลายเรื่องในช่วงศตวรรษที่ 6 แต่เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดก่อนมอนเมาธ์นำมาเขียนหลายร้อยปี จึงพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าเมิร์ดดินกับเมอร์ลินเป็นพ่อมดตนเดียวกัน หรือไม่
   ล่วงมาถึงปี ค.ศ. 1960 เอ.โอ.เอช. จาร์แมน เป็นนักประวัติศาสตร์คนแรก ที่เริ่มต้นค้นคว้าหากำเนิดที่แท้จริงของเมอร์ลิน เขาติดตามร่องรอยไปในแถบสกอตแลนด์ที่มีตำนานเล่าขานตั้งแต่ครั้งก่อนประวัติศาสตร์ ถึงเรื่องของ “คนป่า” ซึ่งไม่ปรากฏนาม เขาผู้นั้นถูกขับไล่ด้วยสาเหตุ บางอย่างให้มาอยู่ในป่าลึกและใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าสัตว์ทั้งหลายในป่า ต่อมาคนป่าผู้นี้ก็ได้มีอำนาจพิเศษในการพยากรณ์อนาคต รวมทั้งได้รับการตั้งชื่อว่า “ลายโลเคน” เรื่องของเขาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์สมัยศตวรรษที่หกและเจ็ดของบริเทน ตอนเหนือ ตลอดจนถึงศตวรรษที่แปดและเก้าของแคว้นเวลส์ และช่วงนี้เองที่จาร์แมนระบุว่าชื่อของเขาได้เปลี่ยนไปเป็นเมิร์ดดิน ตรงกับที่มอนเมาธ์ได้ เคยรจนาไว้
ตำนานในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งกล่าวถึงช่วงที่เมอร์ลินได้มาอยู่ ในราชสำนักไว้ดังนี้
 กษัตริย์วอร์ติเกิร์นแห่ง เวลส์ประสงค์จะสร้างป้อมปราสาทแข็งแรงไว้ป้องกันศัตรู หากทว่าสิ่งก่อสร้างนั้นทุกคืนจะพังทลายลงมาอย่างลึกลับ เหล่าโหราจารย์ทูลว่า วิธีแก้ไขคือใช้โลหิตเด็กชายที่ไร้บิดามาหยดลงบนแท่ง หินก่อสร้าง เหล่าทหารได้ออกค้นหาและนำตัวเมอร์ลินมาเข้าเฝ้า เขาเป็นบุตรของเจ้าหญิงแห่งเวลส์แต่ไม่มีบิดา โดยเจ้าหญิงได้ชี้แจงว่าเธอนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ แต่คืนหนึ่งมีบุรุษทองคำลอบมาสมสู่และให้กำเนิดเด็กน้อยเมอร์ลิน ซึ่งมีความสามารถในการพยากรณ์ เมอร์ลินได้ทูลต่อกษัตริย์ ว่า การที่ก่อสร้างไม่ สำเร็จนั้น เป็นเพราะภายใต้ป้อมปราสาทมีโพรงหินขนาดใหญ่
  ภายในมีมังกรสองตัว ตัวหนึ่งสีแดง อีกตัวหนึ่งสีขาว มังกร ทั้งสองจะต่อสู้กันอย่างสุดฤทธิ์ทุกคืน ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนจนกำแพงที่ก่อสร้างไว้พังทลายลง เมื่อวอร์ติเกิร์นบัญชาให้ขุดดูก็พบว่าเป็นจริงตามคำของเด็กน้อย ซึ่งเมอร์ลินก็ได้ทูลเพิ่มเติมอีกว่า มังกรแดงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของ บริเทน ส่วนมังกรขาวเป็นตัวแทนของเผ่าแซกซอนส์ และเมื่อเวลาผ่านไปมังกร ขาวจะมีชัยเหนือมังกรแดง ที่สำคัญคือเมอร์ลินได้ทำ นายถึง “การมาของอาร์เธอร์” ไว้ด้วย และนี่ก็คือต้นกำเนิด แรกสุดของตำนาน “อาร์เธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม"ครับ
 การที่เมอร์ลินมีอำนาจวิเศษหลายประการทำให้บางคน ถึงกับอ้างว่าเมอร์ลินนั่นแหละที่เป็นผู้สร้างกองหินมโหฬาร “สโตนเฮนจ์” ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก โดยขนย้ายแท่งหินยักษ์เหล่านี้มาจากภูเขาพรีเซลิในแคว้นเวลส์ แล้วก่อตั้งขึ้นในที่ราบซาลิสบิวรี่ มณฑลวิลท์ไชร์ ทางตอนใต้ของอังกฤษ ซึ่งแท้จริงแล้ว กองหินนี้เกิดขึ้นในช่วง 3,100-1,100 ปีก่อน ค.ศ. ก่อนหน้าการถือกำเนิดของเหล่าพ่อมดและอัศวินนับพันปี

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การโกหกครั้งใหญ่ในลอนดอน


เมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน คนทั่วทั้งกรุงลอนดอนเคยถูกหลอกชนิดยกเมืองมาแล้ว การหลอกลวงครั้งนั้นถูกขนานนามว่า “การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่” ชนิดที่โลกต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน และถือว่าเป็นต้นแบบการหลอกลวงที่สร้างความโกลาหลอลเวงกับไปทั้วทุกชนชั้น ตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงพวกชนชั้นสูงระดับนายธนาคาร หรือกระทั่งนายกเทศมนตรีของกรุงลอนดอนเลยทีเดียว
และที่ต้องยกให้เป็นการโกหก “เหนือชั้น” เพราะคนที่สร้างเรื่องโกหกระดับหลอกคนทั้งเมืองได้นั้น กลับไม่ถูกการลงโทษใด ๆ เลย ทั้งที่เรื่องที่สร้างขึ้นมานั้น สร้างความปั่นป่วนไปทั่วเมือง
เรื่องราวโกหกที่ต้องบันทึกไว้เป็นตำนานนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1810 หรือราว ๆ พ.ศ. 2350 (เวลานั้นตรงกับช่วงต้น ๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์ของเรา)
สาเหตุจากเรื่องราวการโกหกครั้งสำคัญนี้เกิดจากการ “เดิมพัน” ด้วยเงินมูลค่า 1 กินนี ระหว่างธีโอดอร์ ฮุค กับ แซมมวล บีซลีย์ เท่านั้น
สำหรับเงินมูลค่า 1 กินนีนั้น ในยุค ค.ศ. 1660 ถึง 1813 นั้น ถือเป็นเงินอังกฤษแบบหนึ่งซึ่งเป็นเหรียญทาง มีมูลค่าราว 21 ชิลลิง ถ้าเทียบเป็นเงินปอนด์ก็ราว ๆ 1 ปอนด์ กับ 1 ชิลลิง เทียบเป็นเงินไทยก็ประมาณ 50 กว่าบาท แต่ในยุคเกือบสองร้อยปีก่อน น่าจะถือว่าเป็นเงินมากมายมหาศาลพอสมควร (ถ้าเทียบกับมูลค่าของค่าเงินปัจจุบันน่าจะตกอยู่ที่หลายหมื่นบาท)
เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าสมราคาพอที่จะเป็นเหตุจูงใจให้สร้างเรื่องหลอกลวงคนทั้งเมืองได้ ซึ่งธีโอดอร์ และแซมมวลท้าพนันกันด้วยเงื่อนไขที่ประหลาดที่สุดในโลก เงื่อนไขที่ว่านี้ก็คือ “ธีโอดอร์จะใช้ความสามารถในการทำให้บ้านหลังหนึ่งในกรุงลอนดอนต้องเป็นที่พูดถึงและจดจำกันไม่ลืมเลือน โดยที่การกระทำดังกล่างนั้นจะต้องใช้เวลาภายใน 1 สัปดาห์ เท่านั้น”
เป็นเรื่องยากลำบากพอใช้ แต่มันก็เป็นเรื่องเด็ด ๆ ที่ท้าทายความสามารถของธีโอดอร์อยู่ไม่น้อย ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ การที่เขาเป็นนักเขียนบทตลกในละครโอเปร่าจนโด่งดังนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันสักเท่าไหร่ในเงื่อนงำการพนันบรรลือโลกครั้งนั้น แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ
เขารับคำท้าของแซมมวลเอาไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่มีเวลาแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น และนั่นเป็นที่มาให้เขาตั้งหน้าตั้งตาเขียนจดหมายไปยังบุคคลต่าง ๆ ทั้วกรุงลอนดอนเป็นจำนวนมากมายหลายร้อยฉบับ (บางแหล่งข้อมูลระบุไว้ว่า เขาเขียนและส่งจดหมายไปมากมายถึง 4,000 ฉบับในเวลาน้อยกว่า 1 อาทิตย์เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจำนวนจดหมายจะอยู่ที่เท่าใดกันแน่ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ จดหมายเหล่านั้นส่งไปถึงมือของผู้รับทั้งสิ้น และนั่นคือส่วนผสมที่สำคัญที่ทำให้เกิด “เหตุการณ์บันลือโลก ขึ้นมาในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1810″
สำหรับเนื้อความในจดหมายนั้น เป็นเรื่องที่ผู้อ่านทุกคนที่ได้รับต้องให้ความสนใจ และใจจดใจจ่อที่จะทำตามช้อความที่เขียนไว้ ตามวันและเวลาที่กำหนดในจดหมาย ซึ่งคาดว่าธีโอดอร์น่าจะเขียนถึงผู้รับที่มีอาชีพแตกต่างกันออกไป โดยอาศัยเงื่อนไข “ความแตกต่างของธุรกิจ” สำหรับผู้รับแต่ละรายลงไป และต้องเป็นเงื่อนไขที่จูงใจมาก
ตัวอย่างเช่น ถ้าเขียนถึงผู้ที่มีอาชีพทำความสะอาดปล่องไฟตามบ้าน ก็บอกว่าอยากติดต่อให้มาทำความสะอาดปล่องไฟ โดยให้ราคาสูงกว่าตลาด ระบุวันที่ 10 พ.ย. ค.ค. 1810 เอาไว้ชัดเจน
หรือถ้าเขียนไปยังพ่อค้าปลาสดในตลาด ก็บอกว่าอยากให้นำปลาชนิดที่ดีที่สุดมาส่งให้ที่บ้าน ในวันที่ 10 พ.ย. ค.ค. 1810 โดยจะให้ราคาอย่างงาม
ธีโอดอร์เขียนจดหมายทำนองนี้ไปยังพ่อค้าและนักธุรกิจจ่าง ๆ ทั่วลอนดอน โดยระบุวันที่เอาไว้เป็นวันที่ 10 พ.ย. ค.ค. 1810 พร้อมกันนั้นก็ระบุเวลาเอาไว้โดนไล่กันตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นมา
สำหรับเรื่องเวลานั้น มีที่สังเกตว่าเขาได้จัดสรร หรือแบ่งเวลาเอาไว้โดยกะให้พ่อค้าหรือผู้รับจดหมายต่าง ๆ ทยอยกันมาตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นไป และนั่นคือบรรดาจดหมายต่าง ๆ ที่ส่งไปยังพ่อค้าและนักธุรกิจสาขาต่าง ๆ ทั่วลอนดอน
เรื่องราวโกลาหลยังไม่จบแค่นั้น เพราะเขายังเขียนจดหมายคล้าย ๆ กันนี้ส่งไปยังบุคคลระดับสูง ๆ เช่น ผู้ว่าการธนาคารใหญ่ในลอนดอน กระทั่งนายกเทศมนตรีของกรุงลอนดอนก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งสังฆราชาของแคนเตอเบอรี่ก็ตกเป็นเหยื่อ หรือแม้แต่รัฐมนตรีในคณะรัฐบาล หรือท่าดยุคผู้สูงศักดิ์ก็ตกเป็นเป้าหมายการเดิมพันครั้งนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยง เพียงแต่ว่าบุคคลระดับวีไอพีดังกล่าวนั้นเป็นพวกที่มายังบ้านเป้าหมายในช่วงเวลาราว ๆ เที่ยงวัน ซึ่งเหลื่อมเวลากว่าพวกพ่อค้าหรือนักธุรกิจไปบ้างเท่านั้น
บ้านที่เป็นที่หมายปลายทางที่ถูกระบุไว้ในจดหมาย คือบ้านของคุณนายท็อตแน่ม ซึ่งตั้งอยู่ที่เลขที่ 10 ถนนเบอร์เนอร์ส (บางแหล่งบอกว่าบ้านเลขที่ 54) ในเขตเวสมินเตอร์ ในมหานครลอนดอน อันใหญ่โต
เรื่องจริงที่น่าเศร้าคือ คุณนายท็อตแน่มนั้นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวแม้แต่น้อย แถมยังไม่ได้รู้จักกับธีโอดอร์หรือแซมมวล ผู้ท้าพนันประหลาด ๆ นั้นด้วยซ้ำไป เธอจึงถือได้ว่าตกเป็นเหยื่อของการโกหกครั้งนี้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งแหล่งข้อมูลก็ไม่ได้ระบุสาเหตุว่าทำไมธีโอดอร์ถึงได้เลือกเอาตัวคุณนายท็อตแน่ม และบ้านของเธอเป็นเป้าหมายในการสร้างความวุ่นวายครั้งนั้น แต่ที่แน่ ๆ คือ ทั้งธีโอดอร์ และแซมมวล ต่างก็ซ่อนตัวอยู่ไม่ห่างจากบ้านเป้าหมายนัก เพราะอย่างน้อยคนทั้งคู่ก็ต้องการมองให้เห็นกับตาว่า เรื่องที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้นได้รับความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
เมื่อถึงเวลา 9 โมง ของวันที่ 10 พ.ย. ค.ค. 1810 สัญญาณแห่งความวุ่นวายก็เกิดขึ้นที่บ้านของคุณนายท็อตแน่ม รวมไปถึงถนนหน้าบ้านของเธอ ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นเรื่องของการจราจรติดขัดจนกลายเป็นการจลาจลไปในเวลาไม่นานนัก
เริ่มประเดิมด้วยการเคาะประตูบ้านของคนส่งถ่านหิน เวลา 9 โมงตรง แต่แล้วเขาก็ได้รับการปฏิเสธจากคุณนายท็อตแน่มที่ทั้งงง และสับสน ก่อนที่จะบอกไปว่าเธอไม่ได้สั่งถ่านหิน ทั้งที่คนส่งถ่านหินยืนยันว่าเขาได้รับจดหมายจากเธอ ลงวันเวลา และบ้านเลขที่เอาไว้เรียบร้อย แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธเขาไป ซึ่งเขาก็ยอมจากไปแต่โดยดี ทั้งที่มีอาการหัวเสียอยู่บ้าง และคุณนายท็อตแน่มก็งงอยู่เหมือนกัน แต่ก็เดาว่าน่าจะเป็นความผิดพลาดหรือการเข้าใจผิด
ถัดไปเป็นคนส่งขนมปังที่มาเคาะประตู และยืนยันว่าได้รับจดหมายจากเธอให้มาส่งขนมปังตามวันเวลาดังกล่าว คุณนายท็อตแน่มก็ปฏิเสธเขาไปอีก และเริ่มคิดว่ามันน่าจะมีอะไรแปลก ๆ อยู่บ้าง เพราะมีคนมาส่งของให้เธอทั้งที่เธอไม่ได้สั่ง
จากนั้นก็มีพ่อค้าอีกหลายรายที่ตรงมาที่บ้านของเธอ และยืนยันกันหนักแน่นว่าต่างก็ได้รับจดหมายสั่งซื้อสินค้าจากเธอ แถมยังยื่นจดหมายให้ดูเป็นหลักฐานอีกด้วย และนั่นทำให้เกิดความโกลาหลมากขึ้นทุกที เพราะแม้เจ้าของบ้านจะยืนยันว่าไม่ได้ส่งจดหมายใด ๆ ไปสั่งซื้อสินค้าทั้งสิ้น แต่พ่อค้าก็ยังคงโต้แย้งและยืนยันจากจดหมายสั่งซื้อที่มีอยู่ จนกลายเป็นความวุ่นวายไปทั่ว
ขณะนั้นคงเป็นทั้งเรื่องเครียด ทั้งสับสนไปหมดที่มีพ่อค้าเฟอร์นิเจอร์แบกเฟอร์นิเจอร์มากองไว้หน้าบ้าน ไหนยังจะมีพ่อค้าเครื่องดนตรีที่ขนสินค้ามาเต็มคันรถ ถัดไปก็เป็นพ่อค้าขายดอกไม้นานาพันธุ์ พ้อค้าขายปลา พ่อค้าผัดสด คนทำขนมเค้กวันแต่งงาน รวมถึงคนผลิตเบียร์สดที่รอส่งสินค้าให้กับเธอ แล้วยังมีพ่อค้าอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่ทยอยมากันเต็มถนนหน้าบ้านของคุณนายท็อตแน่ม
พ่อค้าหรือคนส่งของแต่ละรายนั้นไม่ได้มากันตัวเปล่า ๆ แต่ยังนำเอาสินค้าของตนแบกใส่รถบรรทุกในยุคนั้น ซึ่งก็คือรถม้าที่มีแคร่บรรทุกของมากันทุกราย ดังนั้นภาพของความโกลาหลจึงชัดเจนขึ้นทุกที ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระทบกระทั่งกันระหว่างพ่อค้าส่งของด้วยกันที่ต้องเบียดเสียดกันอยู่บนถนน ทั้งยังต้องขนถ่ายสินค้าเข้า ๆ ออก ๆ ระหว่างหน้าบ้านของคุณนายท็อตแน่มและรถสินค้าของตนไปมาเนื่องจากถูกปฏิเสธจากเจ้าของบ้านด้วยอารมณ์ที่บูดมากขึ้นทุกที ๆ เพราะทุกฝ่ายต่างก็มีอารมณ์โกรธ สับสน และมึนงงไปหมดกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหน้าบ้านของคุณนายท็อตแน่ม
สำหรับผู้คนที่ต้องสัญจรไปมาบนถนนเส้นนั้นต่างก็กระทบกระทั่งกับพ่อค้าทั้งหลายรวมทั้งกระทบกระทั่งกันเอง เนื่องจากพื้นที่เดินทางก็หดเล็กลงไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนพ่อค้าที่มุ่งหน้ามาที่บ้านของคุณนายท็อตแน่ม จากสิบเป็นร้อย และหลาย ๆ ร้อย กระทั่งเป็นพัน ตามจำนวนจุดหมายที่ถูกส่งออกไปโดยที่เจ้าของบ้านไม่ได้รู้เรื่องเลย
ครั้นสาย ๆ บรรดาบุคคลชั้นสูงก็เริ่มปรากฏตัวให้เห็น เป็นต้นว่า ผู้ว่าการธนาคารอังกฤษ ก็มาหาคุณนายท็อตแน่มถึงที่บ้าน หลังจากที่ได้รับจดหมายแจ้งว่าเธอมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะบริจาคเงินก้อนโตให้กับทางธนาคาร ถัดมาเป็นท่านสังฆราชาของแคนเตอเบอรี่ ที่มุ่งหน้าจะมาคุยกับคุณนายท็อตแน่มที่กำลังสับสนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนักธุรกิจระดับประเทศ รัฐมลตรีในรัฐสภา กระทั่งท่านดยุคคนสำคัญ ปิดท้ายด้วยนายกรัฐมนตรีของกรุงลอนดอนที่มาบ้านคุณนายท็อตแน่มด้วย และบุคคลวีไอพีดังกล่าวไม่ได้มาตามลำพัง แต่มาพร้อมกับผู้ติดตาม สมุน หรือคนรับใช้อีกเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้ความวุ่นวายหน้าบ้านคุณนายท็อตแน่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
การกระทบกระทั่งนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา ท่ามกลางการจราจรที่แทบไม่มีการขยับเขยื้อน มองไปมุมไหนก็มีแต่คนหน้าบึ้งใส่กัน จะถอยกลับก็ไม่ได้ เพราะไม่มีช่องทางแม้แต่จะให้ขยับไปไหนได้ กล่าวกันว่าในบริเวณนั้นถึงกับมีฝุ่นตลบขึ้นตั้งแต่เช้าจดเย็น พร้อม ๆ กับความวุ่นวายจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพหัวเสีย มึนงง โกรธแค้น และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ถูกหลอกลวงมาที่แห่งนี้ที่เดียว
กว่าเหตุการจะคลี่คลายลงได้ก็ล่วงเข้าช่วงเย็ย พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ฝุ่นที่เคยตลบอบอวนก็จางหายไปพร้อมกัยแสงสุดท้าของดวงตะวัน เสียงอึกทึกครึกโครมตลอดทั้งวันก็จางหายไปด้วยหลังจากผู้ชุมนุมรายสุดท้ายกลับไป ในความมืด ธีโอดอร์ และแซมมวล โผล่ออกจากที่หลบซ่อนที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ตลอดทั้งวัน พวกเขาจับมือกันอย่างชื่นชมกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่ามันเป็นการบอกผลของการพนันด้วย
นั่นหมายความว่าธีโอดอร์ชนะพนัน เขาทำสำเร็จในการทำให้บ้านหลังหนึ่งในลอนดอนกลายเป็นบ้านที่ต้องจดจำและเป็นที่กล่าวถึงตลอดไปได้ภายในเวลาแค่สัปดาห์เดียว ด้วยวิธีที่น่าทึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว
เป็นที่น่าประหลาดใจ ที่นับจากวันนั้น ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงกันไม่ได้หยุดสมตามเจตนารมณ์ของธีโอดอร์และแซมมวล และเป็นเรืองที่มีการเปิดเผยออกมาแล้ว แต่ทางการอังกฤษกลับไม่ลงโทษทั้งสองคนอย่างใด
แน่นอนที่สุด เรื่องนี้กลายเป็นตำนานโกหกครั้งสำคัญของอังกฤษ และทำให้คนยังพูดถึงมันอยู่เสมอแม้เวลาจะผ่านมานานเกือบสองร้อยปีแล้วก็ตาม จึงถือได้ว่าเป็น “การโกหกข้ามศตวรรษแห่งความทรงจำโดยแท้”

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites