ประมาณปีพ.ศ.63 (480ปีก่อนค.ศ.) กองทัพเปอร์เซียของกษัตริย์เซอร์ซิสที่1 ได้นำกองทัพขนาดมหาศาลจำนวน500,000คน (ทัพบก250,000 ทัพเรือ250,000)เข้าตีดินแดนกรีกทางเขตมาซีโดเนีย เพื่อเป็นการล้างแค้นแทนพระบิดาของตน(กษัตริย์ดาริอุส) ที่เคยพ่ายแพ้สงครามแก่พันธมิตรแห่งกรีกในสงครามเปอร์เซียครั้งแรก(พ่ายแพ้การยุทธที่มาราธอน) และเป็นการเปิดฉากสงครามเปอร์เซียครั้งที่ 2
ด้วยความเข้มแข็งของทัพเปอร์เซียและแผนของแม่ทัพกรีกที่จะถ่วงเวลาเพื่อรวบรวมกำลัง กรีกจึงต้องยอมเสียเมืองเล็กเมืองน้อยให้ฝ่ายเปอร์เซียยึดไล่มาเรื่อยจนทัพเปอร์เซียมาถึงบริเวณช่องเขาแห่งหนึ่งคือ"เธอร์โมไพลาย"(Thermopylae)ซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนจะถึงนครเอเธนส์ ช่องเขานี้เองจะกลายเป็นสมรภูมิที่นองเลือดที่สุดแห่งหนึ่งในสงครามครั้งนั้น
ด้วยสภาพภูมิประเทศของคาบสมุทรกรีก นี่คือที่ที่กองทัพผู้รุกรานจะต้องเดินทัพผ่าน เทอร์โมพิลลาย คือ ยุทธศาสตร์ ที่สำคัญมากสำหรับกองทัพเปอร์เซียที่จะต้องผ่านไปให้ได้ เทอร์โมพิลลาย ในภาษากรีกแปลว่า ประตูร้อน (ภาพจำลองกราฟิก ของช่องเขาเทอร์โมพิลลาย) | ชาวกรีกส่งทหาร7000นาย ไปป้องกันพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ทันที |
พร้อมกับ ทหารสปาทานอีก 300 นาย | (ภาพแสดงการบุกของทัพเปอร์เซีย) |
ตอนนี้ทัพเปอร์เซียต้องมาเจอกับกองกำลังผสมของทหารเอเธนส์-สปาร์ตา-นครพันธมิตร จำนวน7,000นายซึ่งนำมาโดยกษัตริย์"เลโอนิดาส"แห่งสปาร์ตาผู้เจนศึก แต่จำนวนทหารสปาร์ตาที่เชี่ยวชาญสงครามนั้นมีจำนวนแค่น้อยนิด เพราะว่าเวลานั้นเป็นช่วงเทศกาล"คาร์เนี่ยน"ที่ชาวสปาร์ตาเขาถือกันว่าไม่ควรออกทำศึก ทหารสปาร์ตาที่มาจึงเป็นกองกำลังเล็กๆ ของเลโอนิดาสที่คัดเลือกมานั่นเอง
(เทศกาล"คาร์เนี่ยน"จัดขึ้นในสปาร์ตายุคโบราณเพื่อบูชาเทพเจ้าอะพอลโล่ โดยเมื่อถึงเวลาชาวสปาร์ตาจะเก็บตัวและจัดงานฉลองอยู่ในบ้านเมืองตนเองเท่านั้น และห้ามทหารออกรบรึเข้าร่วมศึกสงครามใดๆ ทั้งสิ้น)
เมื่อกว่า2500ปีมาแล้ว กรีกไม่ได้รวมเป็นอาณาจักร แต่เป็นรัฐอิสระจำนวนมาก เช่น เอเธนส์ โครินธ์ และสปาทาซึ่งต่างก็มีกฎหมายและระบบการปกครองเป็นของตนเอง
ชาวกรีกอยู่ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเปอร์เซีย ซึ่งมีอาณาเขตตั้งแต่ ตรุกี อียิปต์ตอนเหนือ
แถมเกร็ดนิดหน่อยสมัยนั้นกรีกมีการปกครองแบบสาธารณรัฐมีนครรัฐหลายแห่งมารวมตัวกัน ซึ่งนครเอเธนส์กะนครสปาร์ตานี้จะเป็นคู่กัดกันตลอด เพราะเอเธนส์เน้นการปกครองประชาธิปไตยกับการพัฒนาวัฒนธรรมมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่งสุดส่วนสปาร์ตาเน้นด้านเผด็จการทหารมีกองทัพบกที่แกร่งสุด 2 นครนี้จึงต่างแย่งกันจะเป็นผู้นำของกรีก
รวมถึงจากการที่สปาร์ตาทอดทิ้งเอเธนส์ในสงครามเปอร์เซียครั้งแรก (ย้อนกับไปอ่านด้านบน) เมื่อพลนำสารเอเธนส์วิ่งทรหดจากหาดมาราธอนเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพสปาร์ตาจนเป็นตำนานอันลือลั่น (ตำนานการวิ่งมาราธอน) แต่สปาร์ตาไม่ส่งกำลังมาช่วยเพราะอ้างว่าอาณาจักรของตนกำลังมีเทศกาล"คาร์เนี่ยน"อยู่ และเหตุการณ์ดันพลิกผันเมื่อเอเธนส์สามารถเอาชนะเปอร์เซียตอนนั้นได้ด้วยกำลังตนเองและได้รับการยกย่องจากนครรัฐต่างๆ ของกรีกให้เป็นผู้นำ นครสปาร์ตาซึ่งอยากเป็นใหญ่จึงเริ่มมีอคติกับเอเธนส์มากขึ้น
480ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์เซอร์ซิส เดินทางข้ามเทลปอน เข้าสู่ประเทศกรีกทางตอนเหนือ | โดยมีทัพเรือของพระองค์เลียบมาตามชายฝั่ง ตีหัวเมืองแตกมาตลอดเส้นทาง |
เซอร์ซิสเป็นกษัตริย์ที่ดุร้าย พระองค์ไม่ทรงหยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาเอาไว้ พระองค์เดินหน้าต่อไป แต่เป้าหมายของพระองค์ คือเอเธนส์ ชาวกรีกต้องต้านทานอย่างสุดฤทธิ์ ต่อการศึกที่จะเกิดขึ้น ณ เทอร์โมพิลลาย มิฉะนั้นระองค์จะทรง ยาตราทัพเข้าสู่เอเธนส์ได้อย่างง่ายดาย | ภาพกษัตริย์เลโอนิดาส"คนกลาง"กับทหารสปาร์ตาที่ช่องเขาเธอร์โมไพลาย |
สภาพสังคมของชาวกรีก กับสปาทา ก็แตกต่างกัน คือชาวกรีกจะเป็นสังคมแบบเปิด ส่วนสปาทันจะ เป็นสังคมแบบปิด เพราะว่าพวกสปาทันเกิดมาเพื่อเป็นทหารเพียงอย่างเดียว พวกเขาได้รับการฝึกอบรมให้เป็นทหาร ตั้งแต่อายุได้7ปี(ประถม2เอง)กองทัพคือชีวิตจิตใจ | แม้จะแต่งงานแล้วก็ตามพวกเขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในค่ายทหาร... พวกเขาทำอาชีพอื่นไม่เป็นเช่น การค้า ธุรกิจ ส่วนงานอื่นๆ ก็ล้วนทำด้วยพวกทาส |
กลับมาที่เทอโมไพลายกษัตริย์เลโอนิดาสคะเนจากชัยภูมิแล้วจึงให้วางกำลังทหารส่วนหนึ่งไว้บนที่สูงและบริเวณปากช่องเขา พอทหารเปอร์เซียเดินทัพเข้ามาทางหุบเขาที่เป็นบริเวณแคบอยู่แล้วก็ถูกกำลังของเลโอนิดาสซุ่มโจมตีจนต้องสูญเสียไพร่พลไปจำนวนมาก
สองวันแรกของการรบนั้นสถาณการณ์อยู่ข้างฝ่ายกรีก ตอนแรกฝ่ายเปอร์เซียส่งทหารชาวเมเดส(Medes)เข้าเป็นหน่วยแนวหน้า แต่เมื่อชาวเมเดสอันเหี้ยมหาญต้องมาเจอกับยุทธวิธีแบบ"ฟาแลงซ์"(phalanx)ของชาวกรีกเข้าก็ต้องสิ้นท่าครับตายกันเกลื่อนบริเวณ แม้ต่อมาเซอร์ซิสได้ส่งทหารหน่วยอมตะ(Immortal)จำนวน 10,000นายซึงเป็นทหารหน่วยที่เยี่ยมที่สุดเข้าต่อกรแต่ก็ให้ผลไม่แตกต่างกัน การรบช่วงแรกชัยชนะจึงตกเป็นของกรีก
กองทหาร อิมเมอร์เทิล (Immortal) เป็นกองทหารที่ดีที่สุดของเปอร์เซีย ซึ่งเป็นคำดังกล่าวเป็นภาษากรีกที่เรียกหน่วยทหารนี้ | ทหารชาวเมเดส(Medes) เป็นทหารแนวหน้าที่เข้าต่อสู้ |
(เสริมหน่อยครับยุทธวิธีแบบ"ฟาแลงซ์"เป็นการรบของทหารกรีกโบราณ คือการให้ทหารแต่ละคนจัดขบวนให้ชิดกันเอาโล่ห์ประจำกายมาตั้งเรียงซ้อนกันและรุกไปข้างหน้าพร้อมหอกยาวในมือ เป็นการป้องกันลูกธนูกับหอกซัดพร้อมกับตีโต้ไปในตัวได้ดี ถ้านึกไม่ออกให้ไปดูเรื่อง"ทรอย"ตอนแบรดพิตต์ยกพลทหารขึ้นบกแล้วให้ทหารเอาโล่ห์มาต่อกันนั้นแหละ) | หัวหน้ากองจะให้สัญญานเดินหน้า ทหารแถวหลังจะเริ่มออกเดิน แล้วใช้โล่ห์ของตนรุนหลังทหารในแถวหน้า เพื่อทำการผลักทหารของฝ่ายตรงข้าม ให้หลุดออกจากสมรภูมิ พวกเขาใช้วิธีการนี้ที่ถูกฝึกมาชั่วชีวิต ขบวนรบแบบฟาลังค์นี้ประกอบไปด้วยทหาร 18แถว แต่ละแถวมี 64คน โล่ห์ของพวกเขาก็จะซ้อนกัน เหมือนเกล็ดงู มันทำให้แทบไม่มีอะไรเจาะทะลุไปได้ |
ทหารสปาทัน ก็บาดเจ็บล้มตายไปมากเช่นกัน ซึ่งพวกชาวสปาทันมีวิธีจำเพาะในการจำแนกศพผู้ตาย ซึ่งบางคราวอยู่ในสภาพที่จำไม่ได้ พวกเขาจะนำกิ่งไม้เล็กๆ มาทำสัญญลักษณ์ที่ปลายทั้งสอง แล้วก็หักออกเป็น2ท่อน ส่วนหนึ่งจะถูกเก็บไว้ในชาม อีกส่วนหนึ่งจะใส่ไว้กับข้อมือของทหาร นี่คือลักษณะเดียวกับป้ายชื่อคล้องคอในปัจจุบัน (Dogtag) | (Dogtag) |
เมื่อการรบมาถึง วันที่2 พวกเปอร์เซียรุกคืบหน้าไม่ได้เลย พวกเขาไม่เคยทำการรบในลักษณะนี้ พวก เขาคุ้นกับการรบในที่กว้าง ที่ทหารม้า รถศึก และทหารอาวุธเบา มีความสำคัญอย่างมาก | กษัตริย์เซอร์ซิส ทรงตัดสินใจใช้ไพ่ตายก็คือ หน่วยอิมเมอร์เทิล พวกนี้เป็นหน่วยทหารชั้นเยี่ยมที่มีทั้งธนู หอก และกริดสั้น เป็นอาวุธ แต่หน่วยอิมเมอร์เทิล ก็ล้มตายลงเป็นทิวแถว เพราะทหารอาวุธเบาไม่สามารถทะลวงเกราะของทหาร อาวุธหนักได้ แต่ทหารกรีก กลับทะลวงฟันทหารเปอร์เซียได้ตามใจชอบ และนอกจากนี้พวกกรีกยัง ถูกฝึกมาให้สู้ในระยะประชิดตัวอีกด้วย |
ระหว่างที่คิดหาทางจะโจมตีทัพกรีกอยู่นั้นก็เหมือนสวรรค์เข้าข้างเปอร์เซีย มีชาวกรีกทรยศชื่อ"เอพิเทส"(Ephialtes)ได้มาเสนอว่าจะพาเซอร์ซิสไปชมพื้นที่ของช่องเขาแห่งนี้โดยแลกกับรางวัล เอพิเทสพากษัตริย์เปอร์เซียไปชมช่องเขารอบๆ และเส้นทางแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รกไปด้วยพุ่มไม้หนามแต่ว่าสามารถไปทะลุที่หลังค่ายชาวกรีกได้
(ต่อมาชื่อ"เอพิเทส"นี้ได้ถูกนำมาต่อท้ายกลายมาเป็นคำว่า"Ephialtes the tratiors"หรือเอพิเทสคนขายชาติ โดยชื่อของเขาได้กลายมาเป็นคำศัพท์ในภาษากรีกซึ่งถ้าแปลเป็นอังกฤษจะหมายความว่า"nightmare"ฝันร้ายนั่นเอง)
เมื่อทหารกรีกเริ่มล้า กษัตริย์ลีโอนีดัสได้ส่งทหารสปาทันเข้ารบ ซึ่งก็เดินทัพแบบฟาลังค์เข้าไป ในขณะที่พวกกรีก ถอยทัพ ทหารสปาทัน ซึ่งได้รับการฝึกมาอย่างดีได้สังหารข้าศึกข้างหน้าจนสิ้นซาก | ภาพกราฟิกมุมสูงเผยให้เห็นการวางกำลังของฝ่ายกรีก |
พื้นที่จำกัดของหุบเขา ทำให้พวกเปอร์เซียไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทหารจำนวนมากของตนได้ พวกเขาส่งทหารเข้าสมรภูมิไม่พอเพียง ที่จะต่อสู้กับเครื่องจักรสังหารสปาทัน ทหารของกษัตริย์เซอร์ซิส ล้มตายระลอกแล้วระลอกเล่า จากการพยายามฝ่าแนวป้องกันของสปาทัน | "เอพิเทส" (Ephialtes |
ในวันที่สามตอนรุ่งสางแม่ทัพเปอร์เซียได้นำทหารหน่วยอมตะจำนวนหนึ่งไปตามเส้นทางลับนี้และเจอกองทหารชาว"โพเชี่ยน"1,000นาย ซึ่งเลโอนิดาสให้มาเฝ้าเส้นทางไว้ ฝ่ายเปอร์เซียได้ทำการยิงห่าฝนธนูจำนวนมากไปยังทหารโพเชี่ยนที่ส่วนใหญ่ยังหลับอยู่ ก่อนเข้าประจัญบานจนทหารโพเชี่ยนแตกกระบวนถอยหนีไปหมด ทำให้เปอร์เซียสามารถตียึดเส้นทางนี้ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อความมืดปกคลุม ทหารเปอร์เซีย เดินทัพไปตามทางลับ ในเช้าของวันที่สาม กองทัพเปอร์เซีย ก็ปรากฎตัวทางด้านหลังของกองทัพสปาทัน | กษัตริย์ลีโอนีดัส ทรงถูกล้อม ทรงทราบพระทัยดีว่า นี่คือการศึกครั้งสุดท้ายของพระองค์ เพื่อให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายน้อยที่สุด ทรงให้ทหาร กรีกเดินทัพกลับไป ส่วนพระองค์และทหารสปาทัน จะยืนหยัดสู้จนตาย |
เมื่อตะวันขึ้นเลโอนิดาสจึงทราบว่ากองทัพของตนตอนนี้ถูกล้อมกรอบเสียแล้วเขาจึงทำการเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหมด โดยขุนศึกของเอเธนส์และนครกรีกอื่นๆ เสนอว่าควรถอยทัพกลับไปขณะที่ยังมีโอกาส หลังการประชุมกษัตริย์เลโอนิดาสจึงออกคำสั่งที่กล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ
คำสั่งคือให้ทัพจากนครกรีกอื่นๆ ถอยทัพไปรวมพลกับกองทัพพันธมิตรที่ตั้งค่ายรออยู่ ส่วนตนเองพร้อมทหารสปาร์ตา"300"นายจะคอยยันถ่วงเวลาทหารเปอร์เซียไว้เพื่อให้ทัพกรีกหนีไปอย่างปลอดภัย โดยที่มีทหารจากนคร"เทปเซียน"(Thepsians)จำนวน700นายซึ่งนำโดยแม่ทัพ"เดโมฟิลัส"ตัดสินใจที่จะอยู่ช่วยสปาร์ตาอีกแรงหนึ่งด้วย
โดยในวันนั้นเลโอนิดาสได้จัดการแจกจ่ายเสบียงให้ทหารของตนกินกันให้เต็มที่พร้อมทั้งกล่าวปลุกใจทหารของตนว่า(Tonight we will dine in Hell) "คืนนี้เราจะฉลองมื้อค่ำกันในนรกภูมิ" โดยหลังจากนั้นเมื่อทหารกรีกอื่นๆ เริ่มทยอยหนีจากค่ายไปแล้วทหารสปาร์ตา300นายและทหารเทปเซียนได้เดินทัพออกมาจากค่ายและได้เข้าประจัญบานกับทัพเปอร์เซียในที่โล่ง
ทหารกรีกคนหนึ่งเตือนว่า พวกเปอร์เซียมีธนูจำนวนมาก จนสามารถที่จะบดบังแสงอาทิตย์ได้ ไดแอนนิธิส แห่งสปาทันกล่าวว่า "ดีเราจะได้สู้ในร่ม" นี่เป็นความชาญฉลาดของพวกสปาทัน พวกเขาใช้เสียงหัวเราะขับไล่ความกลัว แต่กษัตริย์ลีโอนีดัสทรงเคร่งขรึม พระองค์ให้เหล่าทหารของพระองค์กินอาหารเช้า แล้วตรัสว่า "จะทรงกินอาหารเย็นในนรก" | เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ทหารเปอร์เซียตีโอบล้อมทหารสปาทันจำนวนหยิบมือ จากทั้งสองด้าน พวกสปาทัน ต่อสู้ราวกับปีศาจบ้าคลั่ง เปอร์เซียสูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก แต่กษัตริย์ลีโอนีดัสก็ไม่อาจต้านทานกำลังที่มากกว่าหลายเท่าตัวได้ |
ทหารหลายคนโดนธนูยิงตายตั้งแต่ยังไม่ตะลุมบอนที่รอดจากคมธนูต่างต่อสู้อย่างถวายชีวิตด้วยรู้ว่าตนจะไม่มีโอกาสรอดกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว ทั้งหอกและดาบสั้นถูกนำมาใช้ประมือกันในระยะใกล้อย่างเหี้ยมโหด ถึงแม้ทหารสปาร์ตาแต่ละคนจะเป็นเผ่าพันธุ์นักรบและได้รับการฝึกมาอย่างดี แต่ด้วยจำนวนเพียงน้อยนิดจึงทำให้ตกเป็นรองและถูกฝ่ายเปอร์เซียฆ่าล้างบางจนเกลี้ยง
หนึ่งในจำนวนนี้ยังรวมถึงกษัตริย์เลโอนิดาสซึ่งได้ทรงสิ้นพระชนม์ในที่รบนั้นด้วย จากนั้นทัพเปอร์เซียได้ทำการล้อมค่ายของชาวกรีกที่ตอนนี้เหลือทหารเทปเซียนและธีบานส์อยู่ไม่มาก ทหารกรีกที่เหลือในค่ายตอนนี้ต่างเข้าทำการรบครั้งสุดท้ายอย่างไว้ลายด้วยอาวุธทุกอย่างที่พอจะหามาได้
ส่วนทหารธีบานส์ภายใต้การคุมของแม่ทัพ"เลออนไธเดส"ได้แสดงความขี้ขลาดออกมาโดยได้ยกมือทิ้งอาวุธยอมจำนนทันที แต่ชาวเปอร์เซียซึ่งไม่ฟังเสียงก็ได้ทำการล้อมค่ายแล้วยิงธนูเป็นห่าฝนเข้าสังหารทหารในค่ายที่เหลือจนเกือบหมด
เมื่อเสร็จศึกบริเวณช่องเขากษัตริย์เซอร์ซิสได้ทำการตัดหัวของเลโอนิดาสจากร่างอันสิ้นลมของเขาและนำร่างที่เหลือไปตรึงกับแผ่นไม้ แต่ภายหลังกษัตริย์เซอร์ซิสรู้สึกว่าตนลบหลู่เกียรติของกษัตริย์เลโอนิดาสผู้ห้าวหาญจึงได้สำนึกเสียใจขึ้นมา
พระองค์จึงสั่งให้บรรจุศพของเลโอนิดาสไปฝังอย่างสมเกียรติและทำแท่นหินรูปสิงโตปักไว้เหนือหลุมในบริเวณช่องเขาเธอร์ไมโพลีนั่นเอง 40ปีต่อมาพระศพของเลโอนิดาสจึงถูกส่งคืนกลับสปาร์ตา
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เปอร์เซียสูญกำลังรบหลักไปหลายหมื่นนายด้วยน้ำมือของทหารสปาร์ตาแค่ไม่กี่หยิบมือกษัตริย์เซอร์ซิสจึงเร่งเดินทัพไปจนถึงกรุงเอเธนส์และทำการเผาเมืองจนวอดวายไปหมดด้วยความแค้นแต่ทว่าชาวเมืองไหวตัวทันก่อนและได้ชิงหลบหนีไปหมดแล้วจึงเป็นการเผาเมืองเปล่าๆ
ส่วนทหารพันธมิตรนั้นได้ย้ายกองทัพไปซ่อนที่เมืองชายฝั่งบนเกาะแห่งหนึ่งชื่อ"ซาลามิส"เพื่อรอรับการโมตีจากเปอร์เซีย เมื่อกองเรือเปอร์เซียตามมาทันแม่ทัพกรีก"เธมิสโตคลิส"จึงสั่งให้ทัพเรือเอเธนส์ระดมยิงลูกไฟจากเรือ เพื่อทำการโจมตีแบบไม่ให้เปอร์เซียตั้งตัวและทำการหันหัวเรือเข้าชนเรือเปอร์เซียจนเสียหายไปมากถึง 200กว่าลำ (เรือกรีกสมัยนั้นนิยมทำหัวให้แหลมและติดเหล็กยาวปลายแหลมที่ทำเป็นรูปต่างๆไว้เพื่อสะดวกเวลาพุ่งชนเรือข้าศึกให้จมลง)
ทัพเรือเปอร์เซียทนความสูญเสียไม่ไหวจึงต้องถอนทัพกลับส่วนทัพบกนั้นได้เข้าตะลุมบอนกับทัพพันธมิตรกรีก ซึ่งตอนนี้ได้ระดมพลมาได้จำนวนมาก (รวมทั้งจากนครสปาร์ตาที่ตอนนี้หมดหน้าเทศกาลคาร์เนี่ยนแล้ว) ทัพกรีกเวลานี้มีการเตรียมตัวมาอย่างดีและก็เป็นกรีกที่ชนะได้เกือบจะทุกสมรภูมิ จนการรบไปจบลงที่สมรภูมิสุดท้ายบริเวณเมือง"พลาเทีย"ซึ่งหลังจากนั้นแม่ทัพกรีกได้มีการตั้งฆ่าหัวของเอพิเทสที่ทรยศชาวกรีกไว้ด้วยต่อมาชายชื่อ"อาเธนาเดส"ได้เป็นผู้สังหารเอพิเทสผู้ทรยศ
เมื่อกองทัพเปอร์เซียต่างพากันพ่ายแพ้อย่างหมดรูปกษัตริย์เซอร์ซิสจึงต้องจำใจยกทัพที่เหลือกลับอาณาจักรเป็นการปิดฉากสงครามเปอร์เซียลงอย่างสิ้นเชิง(เพราะหลังจากนั้นอาณาจักรเปอร์เซียเริ่มอ่อนแอลงและไม่มีกำลังพอจะก่อสงครามใหญ่ๆ ขนาดนี้ได้อีก จนปีพ.ศ.209"อเล็กซานเดอร์มหาราช"ได้เป็นผู้นำกองทัพชาวกรีกไปบดขยี้ชาวเปอร์เซียถึงถิ่น จนชนชาติเปอร์เซียต้องดับสูญลงอย่างถาวร)
ที่มา:http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=344685&chapter=9