วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตำนานแอตแลนติส


กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว อาณาจักรโบราณนามแอตแลนติส ได้สถิตอยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ทั้งนี้ เนื่องมาจากความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอาณาจักร แอตแลนติสเป็นดินแดนที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากร มีเทคโนโลยีทางวัตถุที่สูงส่ง ซึง่ท้ายที่สุดก็นำเอาความล่มจมมาสู่ผู้ถือครองเทคโนโลยี แอตแลนติส... เป็นอาณาจักรในฝันที่ถูกถ่ายทอดผ่านกาลเวลามาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง จากเรื่องเล่าขานกลายเป็นตำนาน จากตำนานกลายเป็นเทพนิยาย ไม่มีใครในปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่า แท้ที่จริง อาณาจักรนี้เคยดำรงคงอยู่หรือไม่ ถ้าเคยมีอยู่จริง แอตแลนติสนั้นตั้งอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้?
สิ่งที่นักโบราณคดและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าจากวรรณกรรมโบราณ หลักฐานทางประวัติศาสตร์อันน่าฉงนเพียงไม่กี่ชิ้น ซึ่งระบุไม่ได้ด้วยซ้ำว่า โบราณวัตถุเหล่านั้น คือผลพวงจากอารยธรรมแอตแลนติสหรือไม่ หรือว่าแอตแลนติสจะเป็นเช่นเดียวกับทรอยและไมซีนี่ ที่แรกเริ่มเดิมที ทุกคนเข้าใจว่า เป็นเพียงเมืองในตำนานที่กวีจินตนาการขึ้น หาได้มีอยู่ในโลกนี้จริงๆไม่
เรื่องราวของอาณาจักรอันรุ่งเรือง ที่ล่มสลายไปเพราะภัยพิบัติ ดูจะเป็นสากลที่มีอยู่ในตำนานเล่าขานของทุกชนชาติ วีรบุรุษผู้นั่งเรือข้ามขอบฟ้าของอเมริกาใต้ ทายาทของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลาย อาณาจักรแห่งเทพของธิเบต ที่เป็นที่พำนักของเผ่าพงศ์ศักดิ์สิทธิ พระราชวังใต้ดินแห่งเทือกเขาหิมาลัยของอินเดีย มหาปิระมิดคูฟู เรื่องราวเหล่านี้ ดูจะสอดคล้องกันในแง่ของการตกทอดทางอารยธรรมที่ล่มสลายไปแล้ว ทว่า ห่วงโซ่ที่จะร้อยเอาเรื่องราวเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อพิสูจน์ว่า มันมาจากต้นตอเดียวกันนั้น ยังไม่มีใครค้นพบ หรืออีกนัยหนึ่ง มนุษย์ในปัจจุบัน ยังหากุญแจสำคัญในการไขเรื่องราวของอาณาจักรโบราณนี้ไม่เจอ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าก็เพียงแต่กระพี้เล็กๆที่ไม่ใช่แก่น ถึงกระนั้น นัยสำคัญของกระพี้เหล่านั้น ก็บ่งบอกเราอยู่เป็นราางๆว่า เรื่องราวของแอตแลนติส ไม่ได้เป็นเพียงตำนานที่ไร้ตัวตนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเจริญก้าวหน้าเท่าใด เราก็ยิ่งฉงนฉงายกับเรื่องราวที่เราเคยมองว่า "โบราณ" และ "ล้าสมัย" มากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ท่านจะได้สัมผัสต่อไปนี้ คือส่วนหนึ่งของหลักฐานชิ้นเล็กหลายๆชิ้น ซึ่งนักค้นคว้าบางกลุ่มนำมาปะติดปะต่อกัน เพื่อยืนยันการคงอยู่ รวมทั้งเป็นเข็มทิศคลำทางไปสู่ถนนสายหลักของนครแห่งความฝัน ที่มีนามว่า "แอตแลนติส"
แอดแลนติส
ว่ากันว่าที่เกาะแอตแลนติสอันมั่งคั่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม และแม่มด กำแพงเมืองเป็นทองคำ และวิหารสร้างด้วยเงิน ในเมืองมีอุทยานหน่อนใจ และสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพินาศไปด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตมันขึ้นมา บางก็ว่าว่าผู้ทําลายคือแม่มดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่พอใจพวกมนุษย์ ตำนานเกี่ยวกับทวีปอันมั่งคั่งโอ่อ่าที่พลเมืองอาศัยอยู่อย่างสุขสันต์แต่ถูกกวาดทำลายสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน เพลโตปราชญ์ชาวกรีก(บางคนเชื่อว่าเขาคือพ่อมด)ได้พรรณนาถึงการอุบัติและวิบัติของแอตแลนติสไว้ คำพรรณนาของเขาบันดาลใจให้มีคนพากันเขียนหนังสือเกี่ยวกับดอนแดนนี้ประมาณ 2,000 เล่ม มีการค้นหาแอตแลนติสเป็นเวลานับไม่ถ้วนจำนวนปี บางคนเสนอว่าดินแดนมหัศจรรย์นี้ควรจะอยู่ตรงนั้นตรงนี้ต่างๆกันไปถึงกว่า 40 แห่ง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ามันเคยมีอยู่จริง เพลโตเขียนไว้ในหนังสือบทสนทนาเรื่อง ทิไมอุส ( Timaeus ) และครีทีอัส ( Critias ) ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์กาลเป็นครั้งแรกเรื่องเกาะ "ขนาดใหญ่กว่าลิเบียและเอเชียไมเนอร์รวมกัน"
กับผู้คนซึ่งอาศัยบนเกาะอันอุดมสมบูรณ์ เมื่อแรกที่มีการแบ่งดินแดนบนโลกกัน โพโซดอน ( Poseidon ) เทพแห่งสมุทรและแผ่นดินไหวได้รับแอสแลนติสมาเป็นสมบัติ ชาวแอตแลนติสทุกคนจึงเป็นเชื้อสายของเทพเจ้าองค์นี้กับเคลริโอ ( Klerio ) ชายาซึ่งเป็นมนุษย์ ตามที่เพลโตเล่าไว้ แอตแลนติสเป็นชาต์ยิ่งใหญ่ทางทะเลซึ่งตั้งอยู่เลย "เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส" หรือช่องแคบยิบลอนตาในปัจจุบันออกไป อาณาจักรนี้ครอบคลุมน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจรดอียิปต์และตุรกี เป็นดินแดนอันอุดมด้วยทรัพยากร และอาหารนานาชนิด ทิวเขาสูงกำบังลมจากทางเหนือ สรรพสัตว์ ทั้งช้างและม้าเล็มหญ้าอยู่ในท้องทุ่ง ดื่มกินน้ำจากทะเลสาปและลำธาร มีกษัตริย์สิบองค์ครองดินแดนสิบแคว้น พลเมืองทั้งหมดอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข "พวกเขารังเกียจทุกอย่างนอกจากคุณธรรมความดีงาม ไม่สนใจไยดีต่อสมบัติพัสถาน ไม่ว่าทองคำหรือทรัพย์สมบัติอื่นๆ" ชาวแอตแลนติสเป็นทั้งพลเมืองตัวอย่าง และนักขี่ม้าที่เก่งกาจ นอกจากนั้นพวกเขายังเชี่ยวชาญด้านการเดินเรืออีกด้วย ต่อมาชาวแอตแลนติสเกิดไม่พอใจกับโชคลาภที่มีและพยายามจะครองโลก ในสงครามรุนแรงที่ตามมา มีนครเอเธนส์เพียงแห่งเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้กับแอตแลนติส โพโซดอนพิโรธชาวแอตแลนติสและประมาณ 9,500 ปีก่อนคริสต์กาลก็เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นทำให้แอตแลนติสจมหายไปใต้เกลียวคลื่น ไม่เหลือร่องรอยใดๆเลย เพลโตยืนยันว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องจริง และอ้างว่ามีคนเล่าเรื่องนี้ให้โวลอน รัฐบุรุษชาวเอเธนส์ฟังเมื่อ 200 ปีก่อนหน้านั้น เรื่องได้เล่าสืบต่อกันมา ในแง่ประวัติศาสตร์ แม้แต่อริสโตเติลลูกศิษย์ของเพลโตเองก็ไม่ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง การอุบัติและวิบัติของแอตแลนติสมีปัญหาอยู่สองประการคือ ระยะเวลาและสถานที่ตั้ง อารยธรรมแห่งแรกเกิดขึ้นประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสต์กาลในดินแดนประเทศอิรักปัจจุบัน และไม่มีร่องรอยของชุมชนถาวรอยู่เลยก่อนหน้าปี 7,000 ก่อนคริสต์กาล ไม่มีนครรัฐเอเธนส์ให้ไปทำสงครามกับแอตแลนติสในปี 9,500 ก่อนคริสต์กาล ไม่มีการใช้มากันในยุโรปจนกระทั่งนยุคสำริด ( ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล ) การที่เพลโตย้ำว่าที่ตั้งแอตแลนติสอยู่เลยเสาหินแห่งเฮอร์คิวลีสออกไปทำให้กำหนดที่ตั้งได้ลำบาก ที่ตั้งซึ่งเพลโตกล่าวไว้ไม่มีทางจะตรงกับเกาะธีราหรือซานโตรินีของกรีก และเมื่อทรอยที่เชื่อกันว่าอาจเป็นที่เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติก ในปี ค.ศ.1992 ดร.เอเบอร์ฮาร์ท ซังเงอร์ นักธรณีโบราณคดี ผู้โยงโบราณคดีเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของพื้นโลก ตีพิมพ์ผลการค้นคว้าหาตำแหน่งของแอตแลนติส ซึ่งกินเวาถึง 10 ปี ในหนังสือชื่อ อุทกภัยจากสวรรค์ ( The Flood from Heaven ) เขาเสนอว่าเมืองทรอยซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ตุรกีนั้นตรงกับคำบรรยายของเพลโต เกียวกับที่ตั้งของแอตแลนติส เมืองทรอยตั้งอยู่ทางตอนเหนือของที่ราบติดกับช่องแคบ มีลมจากทางเหนือพัดกระหน่ำใส่ และมีบ่อน้ำร้อนและเย็นอยู่ใกล้ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อว่าชื่อ " เสาหินแห่งเฮอร์คิวลิส " นั้น พึ่งจะมาใช้เรียกช่องแคบยิบรอลตาเอาเมื่อราว 500 ปี ก่อนคริสต์กาลนี้เอง ก่อนหน้านั้นคำนี้ใช้เรียกช่องแคบดาร์ดาแนล ซึ่งคั่นระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชีย ช่องแคบนี้เชื่อมต่อไปถึงทะเลดำ ส่วนเรื่องการจมหายไปในทะเลของแอตแลนติสที่เพลโตกล่าวไว้นั้น ซึ่งเมืองทรอยไม่ได้จมหายไปไหน ) ดร.ซังเงอร์ อ้างว่าประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสต์กาลมีอุทกภัยทำให้น้ำท่วมฉับพลันในดินแดนทรอยส่วนที่อยู่บนที่ราบ จะต้องมีการพิจารณาทฤษฎีดังกล่าวกันอย่างรอบคอบก่อนจะพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง คนยังคงคิดกันว่าแอตแลนติสอยู่ที่เกาะธีรามีความคล้ายคลึงหลายประการระหว่างคำบรรยายของเพลโตกับซากโบราณคดีจากอารยธรรมยุคสำริด บริเวณรอบๆทะเลเอเจียนเมื่อประมาณ 3,000-1,500 ปีก่อนคริสต์กาล นักโบราณคดีชาวกรีกชื่อศาสตราจารย์มารินาทอส ขุดค้นที่อ่าวอะโครทิรีบนเกาะธีลา และพบซากเมืองใหญ่ในยุคสำริด มารินาทอส+ สันนิษฐานว่าเมืองที่ขุดพบเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของอารยธรรมไมโนอัน บ้านเรือนสูง 2-3 ชั้น ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามด้วยภาพเขียนปูนเปียกบ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรือง เมื่อประมาณ 1,500 ก่อนคริสต์กาลเกาะธีราก็ถึงแก่การพินาศ ภูเขาไฟบนเกาะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงทำให้ทั้งเกาะ " ถูกกลืนหายไปในทะเล " ทั้งเมืองทรอยและเกาะธีราไม่ได้ตรงกับคำอธิบานของเพลโตว่าแอตแลนติสมีอยู่เมื่อ " 9,000 ปี ก่อนสมัยของโซลอน " มีข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดการเผลอเติมเลข 0 เข้าไปอีกตัวหนึ่ง หากเพลโตหมายถึง " 900 ปีก่อนสมัยของโซลอน " ระยะเวลาก็จะตรงกับเวลาที่ภูเขาไฟระเบิดพอดี อาจจะไม่มีทางบอกได้ว่าสิ่งที่เพลโตเขียนไว้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องแต่ง แต่ก็มีชาวบ้านบางกลุ่มหาว่าเพลโตคือพ่อมดที่คอยเล่านิทานหลอกเด็กให้หลงกลและเข้าไปฟังนิทานของเพลโตทุกวัน และจะได้จับเด็กพวกนั้นมาเป็นสมุน หากมีการพิสูจน์ได้ว่าเกิดความคลาดเคลื่อนในเรื่องของเวลา และว่าเสาหินแห่งเฮอร์คิวลีสนั้นไม่ได้หมายถึงช่องแคบยิบรอลตาเสมอไป ปริศนาเรื่องแอตแลนติสก็อาจจะคลี่คลายไปได้
แอตแลนติสในแวดวงโบราณคดี
ว่ากันว่าที่เกาะแอตแลนติสอันมั่งคั่ง เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา เรื่องราวขงแอตแลนติสเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่ทว่า... ดินแดนในฝันนี้มันมีอยู่จริงหรือไม่ อยู่แห่งหนใด และเมื่อในช่วงเวลาใด ที่อาณาจักรนี้ตั้งตระหง่านท้าทายอำนาจภูตเทพอยู่ตำนานเกี่ยวกับทวีปอันมั่งคั่งโอ่อ่าที่พลเมืองอาศัยอยู่อย่างสุขสันต์ทว่าถูกกวาดทำลายสิ้นเพียงชั่วข้ามคืน ได้ติดตรึงอยู่ในใจของชาวตะวันตกมานานกว่า 2000 ปีแล้ว เพลโตปรัชญาเมธีชาวกรีกได้พรรณนาถึงการอุบัติและวิบัติของแอตแลนติสไว้ คำพรรณนาของเขาดลบันดาลใจให้มีคนพากันเขียนเรื่องเกี่ยวกับดินแดนนี้ประมาณ 2000 เล่ม มีการค้นหาแอตแลนติสเป็นเวลานับไม่ถ้วนจำนวนปี บางคนทั้งนักวิชาการและวิชาเกินต่างพากันเสนอว่า ดินแดนนี้ควรจะอยู่ตรงนั้นตรงนี้บ้างต่างๆกันไป เบ็ดเสร็จจนถึงปัจจุบันแล้วก็ราวๆ 40 กว่าแห่ง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่ามันมีอยู่จริง
ภาพจำลองแอตแลนติสตามคำบรรยายของเพลโต
ที่มาของแอตแลนติสที่พวกเรารู้จักกันดีนั้น มาจากงานเขียนของเพลโตที่ชื่อ ทิไมอุส และ ครีติอัส ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวของเกาะที่"ใหญ่กว่าลิเบียและเอเชียไมเนอร์รวมกัน" กับพลเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะอันอุดมสมบูรณ์ โดยท้าวความถึงเทพนิยายกรีกที่เมื่อแรกมีการแบ่งดินแดนกัน โปเซดอนเทพแห่งห้วงสมุทรและแผ่นดินไหวได้รับแอตแลนติสมาเป็นสมบัติ ชาวแอตแลนติสทุกคนจึงเป็นเชื้อสายของโปเซดอนกับเคลริโอ ชายาซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวโลกตามที่เพลโตกล่าวเอาไว้นั้น แอตแลนติสเป็นชาติที่กุมอำนาจทางทะเลเอาไว้ มีที่ตั้งอยู่ ณ ที่ซึ่งเลยเสาหินของเฮอร์คิวลิส หรือช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบันออกไป อาณาจักรนี้ครอบคลุมน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจรดอียิปต์และตุรกี เป็นดินแดนอันอุดมด้วยทรัพยากรและอาหารนานาชนิด ทิวเขาสูงกำบังลมจากทางเหนือ สรรพสัตว์ทั้งช้างและม้าเล็มหญ้าอยู่ในท้องทุ่ง ดื่มกินน้ำจากทะเลสาบและลำธาร มีกษัตริย์สิบองค์ครองดินแดนสิบแคว้น พลเมืองทั้งหมดอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีและสันติสุข "พวกเจารังเกียจทุกอย่างนอกจากคุณธรรมอันดีงาม ไม่สนใจใยดีต่อสมบัติพัสสถาน ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือทรัพย์สมบัติอื่นๆ" ชาวแอตแลนติสเป็นทั้งพลเมืองตัวอย่างและนักขี่ม้าที่เก่งกาจ นอกจากนั้นพวกเขายังเชี่ยวชาญด้านการเดินเรืออีกด้วย
ต่อมาชาวแอตแลนติสไม่พอใจกับโชคลาภที่มีและพยายามจะแผ่ขยายอาณาเขต เพื่อทำการครอบครองโลก เกิดสงครามที่รุนแรงตามมาหลายต่อหลายครั้ง ชาติเล็กชาติน้อยย่อยยับกับการกรีฑาทัพของแอตแลนติสไปเป็นแถวๆ มีนครเอเธนส์ของเทพีอาเธน่าเพียงแห่งเดียวที่ยืนหยัดต่อต้านแอตแลนติสเอาไว้ได้ โปเซดอนพิโรธชาวแอตแลนติสมาก และประมาณ 9,500 ปีก่อน คริสตกาลก็เกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นบนตัวทวีป ทำให้แอตแลนติสจมหายไปใต้เกลียวคลื่น ไม่เหลือร่องรอยใดๆเอาไว้จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เทพสมุทรโปเซดอน ผู้ปกครองแอตแลนติสในสมัยแรกเริ่ม
เพลโตยืนยันว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องจริง และอ้างว่าเขาได้รับฟังเรื่องนี้มาจากรัฐบุรุษโซลอน ซึ่งรับฟังมาอีกทอดจากนับวชก่อนหน้านั้น เรื่องราวได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ พูดแล้วน่าเศร้าครับ ในแง่ของประวัติศาสตร์ปัจจุบัน แม้กระทั่งท่านอริสโตเติลลูกศิษย์ของเพลโตเองก็ไม่ยอมรับว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องจริง การอุบัติและวิบัติของแอตแลนติสนั้นมีปัญหาอยู่สองประการ นั่นคือเรื่องของระยะเวลาและสถานที่ตั้ง ครับ... นั่นคือมุมมองและบทสรุปของวิชาประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ซึ่งนายโซนิคอ่านดูก็ออกจะขัดใจอยู่ไม่น้อย เพราะพวกเขาเพิกเฉยต่อหลักฐานหลายๆอย่างที่พอจะเอามาอ้างอิงได้ แต่ก็เอาเถอะครับ ลองมาดูกันดีกว่าว่า ประวัติศาสตร์และโบราณคดีในปัจจุบัน สรุปเรื่องของแอตแลนติสเอาไว้อย่างไรกันบ้าง
กล่าวถึงเทือกเขาแอนดิส ทุกคนคงจะรู้จักดี โดยเฉพาะบริเวณเชิงเขาที่เต็มไปด้วยอาณาบริเวณของชนเผ่า สิ่งก่อสร้าง ที่บ่งถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ข้อสังเกตว่า เทือกเขาดังกล่าวเมื่อก่อนมิได้สูงชะลูดชูดชันขนาดดังในปัจจุบัน หากแต่มันต้องเกิดการยกตัวขึ้นอย่างทันทีทันใดในเวลาไม่นานมานี้ ที่ว่าไม่นานคือ อยู่ในช่วงเวลาที่มนุษย์สามารถพัฒนาอารยธรรม จนกระทั่งมีเรือขนาดใหญ่ใช้กันน่านล่ะครับหลักฐานอยู่ตรงไหน? เรามาดูบริเวณทะเลสาบติติคาคากันเสียหน่อย ทะเลสาบอันโด่งดังแห่งนี้ อยู่บริเวณเทือกเขาแอนดิสซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 12,500 ฟุต และห่างจากมหาสมุทรแปซิฟิกถึง 200 ไมล์นั้น มันดันมีท่าเรือโบราณตั้งอยู่น่ะสิครับ แหวนสำหรับเคเบิลเรือที่นักสำรวจพบที่นั่น มันใหญ่ขนาดพอที่จะใช้กับเรือเดินสมุทรขึ้นไป อีกประการ ตำนานโบร่ำโบราณที่กล่าวถึงกษัตริย์พระอาทิตย์ผู้ปกครองดินแดนก็ดี ซากสัตว์ทะเลที่พบในบริเวณนั้นก็ดี ล้วนแต่บ่งบอกกับเราว่า เทือเขาแอนดิสน่าจะเป็นมหาสมุทร หรือชายฝั่งทางตะวันตกของอเมริกาใต้มาก่อน
ที่พูดมาเสียยืดยาวนี่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ อยากจะให้ตั้งข้อสังเกตกันเท่านั้นแหละว่า เป็นไปได้ไหมที่สาเหตุของการยกตัวอย่างฉับพลันบริเวณเทือกเขาแอนดิส มาจากการจมลงอย่างปัจจุบันทันด่วนของอนุทวีปแอตแลนติส?จุดจบของแอตแลนติส อาจไม่ได้มาจากสงครามหรือการลงทัณฑ์ของทวยเทพ แต่เป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติโดยแท้จริง ภัยสะท้านโลกครั้งนี้ แม้จะทำลายอารยธรรมแอตแลนติสลงอย่างสิ้นเชิง กระนั้น มรดกทางอารยธรรมที่ยังเหลือมาสู่หูตาอนุชนรุ่นหลัง ก็ยังมีอยู่มากมายกระจัดกระจายกันไปทั่วโลก ดังที่ท่านจะได้พบได้เจอไปทีละอย่างสองอย่าง ในสารคดีมหายาวของนายโซนิคชุดนี้ครับ
แอตแลนติสในวรรณกรรม
อาจกล่าวได้ว่าโลกได้รับทราบรายละเอียดของแอตแลนติสจากงานชื่อ "ทิไมอุสและคริติอัส" ของเพลโต ซึ่งได้มาจากปรัชญาเมธีโซลอน ซึ่งไปเอาเรื่องเหล่านี้จากนักบวชแห่งอียิปต์อีกต่อหนึ่ง (หลายซึ่งจังวุ๊ย) ในครั้งที่โซลอนเดินทางไปยังอียิปต์เมื่อ 560 ปีก่อนคริสตกาลครับโซลอนเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากนักบวชไอยคุปต์จากวิทยาลัยสงฆ์ที่นั่น โดยเอามาจากเอกสารโบราณอายุนับพันๆปี บันทึกดังกล่าวพูดถึงทวีปที่อยู่ไกลโพ้น ถัดจากบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (แถวช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน) ซึ่งจมลงเมื่อประมาณ 9560 ปี ก่อนคริตกาล ครับ... ทวีปนั้นก็คือแอตแลนติสนั่นเอง
"ถัดจากเสาหินของเฮอร์คิวลิส? มันก็อเมริกาน่ะสิ ที่แท้แอตแลนติสก็หมายถึงทวีปอเมริกานี่เอง..." ยังครับ ยัง.. อย่าเพิ่งสรุปอะไรง่ายๆอย่างนั้น ดูจากแผนที่โลกโบราณมันก็ดูเหมือนจะใช่อยู่หรอก แล้วถ้าเทียบเคียงความเจริญของหลายๆชนเผ่า เช่น อินคา มายา แอสเท็ค มันก็ยิ่งเข้าเค้าว่า แอตแลนติสตามคำบรรยายของเพลโต ปัจจุบันคือทวีปอเมริกา แต่เปล่าหรอกครับ... มันไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างแรก เพลโตมิได้สับสนเรื่องทวีปอย่างแน่นอน เพราะในงานเขียนของเขากล่าวว่า ถัดจากแอตแลนติสออกไปทางตะวันตกยังมีทวีปใหญ่อยู่ด้วย (นั่นแหละ อเมริกา) และมหาสมุทรในความหมายของเพลโต คือมหาสมุทรที่เป็นมหาสมุทรจริงๆ มิใช่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เป็นเพียงทะเลท้องถิ่นแถบบ้านเกิดของเพลโตรายละเอียดของแอตแลนติสในงานเขียนของเพลโต กล่าวไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ เพลโตกล่าวถึงแอตแลนติสว่า เป็นเกาะขนาดอนุทวีป มีที่ราบแห้งแล้งในใจกลางเกาะ แนวเขาสูงเป็นปราการธรรมชาติกั้นลมอยู่ทางเหนือ สภาพอากาศอยู่ในแบบกึ่งเขตร้อน พืชผลอุดมสมบูรณ์พลเมืองสามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละสองครั้ง ประเทศของแอตแลนติสมั่งคั่งด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีความรุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้น แอตแลนติสยังมีอู่ต่อเรือ คลองสำหรับคมนาคม พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอกด้วยเรือเดินสมุทรครับ... ครับ... พูดกันหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า แอตแลนติสน่าจะล่มสลายลงในยุคน้ำแข็ง หรือเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นกว่าปีก่อน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่อาณาจักรใหญ่ที่เจริญด้วยเทคโนโลยีเกิดประสบเข้ากับสิ่งที่ถึงขั้นทำให้สิ้นอารยธรรมนั้น มันต้องเป็นภัยพิบัติรุนแรงถึงขั้นกระเทือนไปทั้งโลกสิ และถ้าถึงขั้นกระเทือนไปทั่วโลกจริงๆ หลักฐานต่างๆที่บ่งชี้เกี่ยวกับอาณาจักรนี้ ก็น่าจะยังเหลืออยู่บ้าง ดังนั้น นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงได้ทุ่มกายทุ่มใจ เพื่อหาหลักฐานมายืนยันข้อสงกาของพวกเขา ฟ้าดินไม่กลั่นแกล้งคนตั้งใจครับ อย่างน้อยๆ ความพยายามของพวกเขาก็ได้หลักฐานมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว มาดูกันสักส่วนสองส่วนไหมครับ ว่ามีอะไรบ้างที่ว่าน่าสนใจน่ะ...ศ. เอ็น เลดเนฟ นักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกข์ชาวมอสโกได้ทำวิจัยเรื่องของแอตแลนติสมานับสิบปี ท้ายที่สุด เขาสรุปงานของเขาเพียงสั้นๆว่า แอตแลนติสในตำนานมิใช่เพียงนิทานปรัมปรา แต่เอกสารทางประวัติศาสตร์โบราณ และอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมหลายแห่ง บ่งชี้ว่า แอตแลนติสเคยเป็นเกาะมหึมาที่มีอยู่จริงมาก่อน
ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกคน ที่เสนอแนวคิดเกี่ยวกับแอตแลนติสเอาไว้อย่างน่าสนใจโดยเฉพาะเกี่ยวกับที่ตั้งของมันเอาไว้ว่า หากเราพิจารณาถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลไปถึงมหาสมุทรอาร์คติกเมื่อระหว่างหมื่นถึงหมื่นสองพันปีที่แล้ว แอตแลนติสจะต้องคอยเป็นแนวกั้นที่คอยเบี่ยงเบนกระแสน้ำไปทางใต้ "เพราะแอตแลนติสไปขวางกระแสน้ำ แอตแลนติสจึงเป็นาเหตุของการทำให้เกิดยุคน้ำแข็ง และมันก็เป็นสาเหตุของจุดจบนั้นด้วย" เขาสรุปครับ เมื่อเราพิจารณาจากซากพืชพันธุ์ ซากสัตว์ทะเลที่พบในบริเวณทิศทางของกระแสน้ำดังกล่าวไหลผ่าน ก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและธรณีวิทยาอย่างรุนแรงในมหาสมุทรแอตแลนติค และมีผลทำให้เกาะๆหนึ่งซึ่งขวางทางไหลของกระแสน้ำอุ่นนั้นจมลง
ประเด็นนี้ดูจะเห็นพ้องต้องกันล่ะครับว่า แอตแลนติสคืออนุทวีปที่จมลงเพราะภัยพิบัติบางประการ
จากการสำรวจใต้น้ำของสมาคมธรณีวิทยาของสหรัฐเมื่อปี 1949 เกี่ยวกับจานหินปูนนับตันที่ถูกยกจากท้องมหาสมทุรแอตแลนติค ทางตอนใต้ของหมู่เกาะอาซอเรส จานเหล่านี้มีขนาดโดยเฉลี่ย 6 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ซึ่งตรงกลางมีรูเจาะไว้อย่างน่าแปลก ขอบนอกดูเรียบแต่รูดังกล่าวถูกเจาะไว้อย่างหยาบๆ จานเหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แถมไม่มีใครตอบได้ด้วยว่าจะเอามันไว้ใช้ทำอะไร หอสังเกตการณ์ทางธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียให้ข้อสันนิษฐานว่า "สภาพการโค้งงอได้ของหินปูนเหล่านี้ บ่งชี้ว่าอาจเกิดขึ้นในสภาพใต้ดิน และภูเขาใต้น้ำอาจเคยเป็นเกาะในอดีตเมื่อหมื่นสองพันปีก่อนก็ได้..."
อีกตัวอย่างเบ้อเริ่มของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา คือหุบเขาไนแองการา(อย่าบอกนะครับว่า ไม่รู้จัก)ที่เก่าถึง 12,500 ปี ข้อพิสูจน์บ่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การยกตัวของเทือกเขาคอร์ดิลเลราที่ยกขึ้นถึง 19,000 ฟุตนั้น เกิดขึ้นเมื่อหมื่นปีเศษๆมาแล้วแล้วยังมีตัวอย่างยิบย่อยอีกมากมาย ที่เราเห็นได้ชัดว่า เกิดธารน้ำแข็งจำนวนมากมายขึ้นเมื่อ 11,000 - 12,000 ปีมาแล้ว หลังจากธารน้ำแข็งเคลื่อนตัวลงจากขั้วโลก สภาพอากาศก็ดูจะอบอุ่นขึ้น และในสมัยเมื่อ 8000 ปีก่อน ค.ศ. ในสมัยที่นักโบราณคดีเรียกว่ายุคหินกลางนั้น แผ่นน้ำแข็งก็เคลื่อนออกเปิดทางสายใหม่สู่แผ่นดินใหม่ให้กับสัตว์และมนุษย์ ความสอดคล้องกันของหลักฐานเหล่านี้ สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการกั้นขวางของเกาะที่จมลง ซึ่งกันมิให้กระแสน้ำอุ่นไหลไปทางเหนือ ฟังดูแล้วงงดีไหมครับ ลองหาแผนโลกโลกหรือวาดประกอบไปด้วยก็ได้ครับ จะได้นึกภาพออกคิดดูดีๆอีกแง่แล้ว การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาเป็นสิ่งที่ค่อยเป็นค่อยไป หากมันเกิดขึ้นจริงมันก็น่าจะมีลางบอกเหตุให้มนุษย์(ถ้ามีอยู่จริงนะครับ)ที่เจริญแล้วในยุคหมื่นกว่าปีก่อนโน้น ได้หาทางรับมือหรือแก้ไข(เหมือนที่เรากำลังวิตกเรื่องสภาวะเรือนกระจก) กันได้บ้างสิน่า... แต่ถ้าหากภัยพิบัตินั้นเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เหมือนกับจู่ๆมันก็หล่นลงมาจากบนฟ้าเสียอย่างนั้น การจจะรับมือคงเป็นไปได้ยาก... เหตุผลอันนี้ค่อยดูฟังเข้าท่าหน่อย จริงไหมครับ?แอตแลนติสในแวดวงโบราณคดี II แอตแลนติสเป็นอาณาจักรเจ้ากรรมที่มีข้อขัดแย้งกับนักประวัติศาสตร์ปัจจุบันอยู่มากครับ หลายๆท่านค้านว่าอาณาจักรนี้น่าจะเป็นเพียงอาณาจักรในนิทานมากกว่าที่จะมีอยู่จริงๆ เพราะอะไรน่ะหรือครับ เรามาดูมุมมองของนักประวัติศาสตร์กันดีกว่าอารยธรรมแห่งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อนคริสตกาลหรือราวๆห้าพันปีก่อน ในดินแดนแถบตะวันออกกลางที่เป็นที่ตั้งของประเทศอิรัคในปัจจุบัน ครับ ดินแดนเมโสโปเตเมียนั่นเอง ถ้าจะอิงตามตำราประวัติศาสตร์มันก็ใช่อยู่หรอก เพราะไม่มีชุมชนถาวรของมนุษย์ตั้งอยู่เลยก่อนหน้าอารยธรรมสุเมเรียนจะบังเกิด และก่อนหน้า 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ไม่มีร่องรอยของชุมชนมนุษย์ที่เป็นเมืองใหญ่เลยด้วยซ้ำ และประการสำคัญนครเอเธนส์ก็ยังไม่มีขึ้นบนโลกนี้ แล้วเอเธนส์ที่ทำศึกกับแอตแลนติสนั้นมาจากไหนเล่าครับ?ในยุค 9,500 B.C. ที่เพลโตอ้างถึงนั้น มนุษย์ยังไม่รู้จักใช้ม้ากันเลย เพิ่งมาเริ่มใช้กันตอนเริ่มยุคสำริดเมื่อประมาณ 300 BC. แต่ในเรื่องของเพลโตนั้นกลับกล่าวถึงม้าเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง และที่เพลโตย้ำว่าเกาะแอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสาหินของเฮอร์คิวลิสออกไปนั้น ยิ่งทำให้ระบุสถานที่ได้ลำบากเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าอะไรต่อมิอะไรมันอยู่ตรงนั้นบ้าง ที่ตั้งที่พอจะใกล้เคียงกันกับแอตแลนติสของเพลโตนั้นก็มีเกาะธีราหรือซานโตริโนของกรีก (แต่มันไม่ยักกะตรงกันเลยในความเป็นจริง) แล้วก็เมืองทรอย ซึ่งอาจถูกเล่าลือกันว่ามันคือแอตแลนติส ในปี 1992 ดร.เอเบอร์ฮาร์ท ซังเงอร์ นักธรณีโบราณคดีผู้โยงโบราณคดีเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาได้ตีพิมพ์ผลงานการค้นคว้า ซึ่งว่าด้วยเรื่องการค้นหาตำแหน่งของแอตแลนติส ซึ่งกินเวลาศึกษานานนับสิบปีในหนังสือชื่อ The Flood from Heaven เขาเสนอว่าเมืองทรอยบนผืนแผ่นดินใหญ่ของตุรกีนั้นตรงกับคำบรรยายของเพลโตเกี่ยวกับแอตแลนติส เมืองทรอยตั้งอยู่ทางเหนือของที่ราบติดกับช่องแคบ มีลมจากทางเหนือพัดกระหน่ำเข้าใส่ รวมทั้งมีบ่อน้ำร้อนน้ำเย็นอยู่ใกล้ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อว่า "เสาหินของเฮอร์คิวลิส" เพิ่งจะเอามาเรียกช่องแคบยิบรอลต้าเมื่อราวๆ 500 ปีก่อนคริสตกาลนี่เอง ก่อนหน้านั้นคำนี้ใช้เรียกช่องแคบดาร์คาแนลซึ่งคั่นระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย ช่องแคบดังกล่าวเชื่อต่อไปถึงทะเลดำ ส่วนเรื่องการจมหายไปของทวีปแอตแลนติสนั้น(อย่าลืมนะครับว่า กรุงทรอยไม่ได้จมหายไปไหน) ดร.ซังเงอร์กล่าวว่า เมื่อประมาณ 1,200 BC. มีอุทกภัยฉับพลันทำให้น้ำท่วมในดินแดนทรอยส่วนที่เป็นที่ราบ และมันกลายไปเป็นตำนานน้ำท่วมแอตแลนติสไป เฮ้อ...อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้ แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทนโรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติสแต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมาก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใดแอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
กำเนิดแอตแลนติส
มันเป็นเวลาเมื่อ 3500 ปีล่วงมาแล้ว ฤดูร้อนอันแสนยาวในทะเลอีเจียนกำลังจะถึงจุดจบ แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องกระทบเกาะเล็ก ๆ จนดูเป็นสีทองสวยจับใจ เกาะภูเขาไฟนี้โผล่อยู่เหนือทะเลคลื่นจัด ล้อมรอบด้วยเกาะต่าง ๆ ในทะเล
นกนางแอ่นบินโผผินลอดไปมาระหว่างลูกกรงลำแสงสุริยัน กิ่งต้นมะกอกไหวสั่นด้วยลมอ่อน ๆ ยามเย็น ท่าเรื่อเงียบสงบ ขณะนี้งานประจำวันได้เสร็จสิ้นแล้ว ชาวประมงกำลังเดินกลับบ้านพร้อมกับสัตว์ผิวสีเงินเป็นประกาย ถนนแคบ ๆ เริ่มแออัดไปด้วยผู้คน เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังไปทั่ว พวกผู้หญิงนั่งจับกลุ่มซุบซิบอยู่หน้าบ้าน พวกผู้ชายเดินเล่นในสวนหลังจากงานหนักมาทั้งวัน เงาบนพื้นเริ่มยาวขึ้นเมื่อราตรีกาลคืบคลานเข้ามา ทัดในนั้นความร้อนอันประหลาดก็เข้าห้อมล้อมเมืองทะเลกลายเป็นสีตะกั่ว เสียงครางอู้อี้ดังเป็นช่วง ๆ จากกั้นทะเลลึก ในตอนแรก แล้วมันก็ชักถี่และนานขึ้นทุกที ความตื่นตระหนกสับสนอลหม่านแพร่กระจายออกไปทั่ว ชาวเกาะรู้ดีว่า เจ้าภูเขาไฟยักษ์ที่สูงถึง 1500 เมตร กำลังคุกคามชีวิตของพวกเขา พระเจ้าผู้ควบคุมแรงเขย่าโลกซึ่งสถิติตอยู่ภายในภูเขาไฟนี้ ได้ตื่นจากการหลับนอนอันแสนยาวนานแล้วมันกำลังจะระเบิดผู้คนวิ่งออกมาจากบ้านพร้อมด้วยทรัพย์สินเล็กน้อย ที่พอหยิบฉวยได้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าทั้งเมือง ทั้งเกาะและอารยธรรมทั้งหมดกำลังจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ซึ่งตามความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันแล้วนับได้ว่าเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดของโลกครั้งหนึ่ง ครั้งแรก ควันดำเบาบางถูกปล่อยออกมาก่อน ตามด้วยหินภูเขาไฟถูกพ่นออกมาตกปกคลุมไปทั่วเหมือนสายฝน และหลังสุดก็เป็นขี้เถ้า ช่วงรุนแรงที่สุดคือเมื่อตัวภูเขาไฟระเบิดด้วยแรงอัดมหาศาลที่อยู่ภายใน เสียงดังสนั่นได้ยินไปทั่วทะเลเมดิเตอเรเนียน ฟังประหนึ่งเป็นวันสุดท้ายของโลก ทั่วเกาะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นขี้เถ้า
ในที่สุดช่องแมกม่าก็ว่างเปล่าลงหลังจากที่มันได้ขับหินร้อนเป็นล้าน ๆ ตันออกมา ตัวภูเขาไฟนั้นพังลงเหลือแต่ปล่องขนาดเส้นรอบวง 60 กิโลเมตร แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะยังไม่สะใจกับมหันตภัยนี้ แรงระเบิดจากภูเขาไฟและแผ่นดินไหว ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่เรียกว่า ซูนามิส (tsunamis) คลื่นสูงถึง 200 เมตรแพร่กระจายออกเป็นวงโดยรอบมุ่งกระทบชายฝั่งข้าง ๆ ด้วยแรงมหาศาลที่ไม่อาจหาแรงใดเทียบได้
นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าการระเบิดครั้งนั้น มีอำนาจทำลายเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์กว่า 500 ถึง 1000 ลูก ขี้เถ้าลอยไปทั่วบริเวณอีเจียนทำให้ท้องฟ้ามืดสนิทเป็นอาทิตย์ ขี้เถ้าที่ตกทับถมตามพื้น ในปัจจุบันเรียก เทฟฟรา (tephra) ซึ่งปรากฎว่ามีความหนาถึง 60 เมตร ที่เกาะซึ่งชาวกรีกโบราณเรียกว่า คาล์ลีสเต (kalliste)
แหล่งอารยธรรม
ทั้งหมดนี้เป็นภาพเหตุการณ์ที่นักวิชาการวาดขึ้น ตามที่เพลโตได้เขียนไว้ เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีกมีชีวิตระหว่าง 427
เครดิต:http://writer.dek-d.com/ioioioi/story/view.php?id=179562

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites